มีผู้เอาบทความของผมเรื่อง “สติปัฏฐานกับความหลงผิด - สติปัฏฐาน 4 ไม่เป็นวิปัสสนา” ไปลงในเว็บบอร์ดของวัดอัมพวัน ที่นี่
เขาเอาไปลงนานมาแล้ว และก่อนหน้านี้ ผมก็เคยเข้าไปอ่าน แต่ไม่นึกอยากจะเขียนอะไรลงไป เพราะ ผมบวชที่อัมพวัน 1 พรรษา
หลวงพ่อวัดอัมพวัน (หลวงพ่อจรัล) เป็นผู้บวชให้ด้วย ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว ครั้งนั้นเป็นการบวชพระครั้งที่สามของผม
ผมเองไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์หลวงพ่อวัดอัมพวันเลย แม้แต่ครั้งเดียว ผมยังเคารพนับถืออยู่เสมอ ในตอนนั้น ผมจึงไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อะไร
ตอนนี้ผมเข้าไปอ่านใหม่ ปรากฏว่า เหลือความเห็นเพียง 2 ความเห็น คนควบคุมเว็บบอร์ดนี่ก็เหลือเกิน
คือ เมื่อก่อนนี้ มีคนให้ความเห็นที่เข้าข้างผมเหมือนกัน คือ เขาบอกว่า ที่ผมเขียนไปมีเหตุผลเหมือนกัน เอาความเห็นที่เห็นด้วยออก เหลือแต่ความเห็นที่ไม่เห็นด้วย
ก็ไม่เป็นไร ผมจะวิพากษ์วิจารณ์เฉพาะความเห็นที่เหลือ
คุณผู้ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 (ผู้เยี่ยมชม) ตอบเมื่อ: 10 ส.ค. 53 19:30 ดังนี้
.....................................................
อยากทราบความคิดเห็นกับญาติธรรมผู้เจริญสติฯ ว่า
เมื่อมีผู้กล่าวเช่นนี้ (คลิกไปอ่านดู) ญาติธรรมมีความเห็นกันอย่างไรครับ ตามความเห็นผมผมว่าผู้เขียนหลบลู่ พระสงฆ์ และมีมิจฉาทิฏิมากเลย ครับ
.....................................................
คำวิพากษ์วิจารณ์ของผม
ที่ผมเขียนไปนั้น ผมว่ามีหลักฐานในทางวิชาการ และสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง ทำไมผมถึงกลายเป็น “มิจฉาทิฐิ” ไปได้
มิจฉาทิฐินั้น เป็นพวกไม่เชื่อเรื่องบุญกรรม การเวียนว่ายตายเกิด ฯลฯ ผมเชื่ออยู่ และที่กระทำทุกวันนี้ ก็เพื่อเผยแพร่ศาสนา
คุณผู้ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 (ผู้เยี่ยมชม) แกเข้าใจคำว่า “มิจฉาทิฐิ” หรือเปล่าก็ไม่รู้ เห็นใครไม่เชื่อไปตามตนเอง ก็แสดงความโง่ของตนเองด้วยการกล่าวหากันไปเรื่อย
ไม่ได้มีหลักวิชาการในตัวเลย
คำว่า “มิจฉาทิฐิ” วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ให้ความหมายไว้ดังนี้
มิจฉาทิฐิ หรือ มิจฉาทิฏฐิ หมายถึง ความเห็นผิด การเห็นกงจักรเป็นใบบัว พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์บางพวกมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
- ทานที่ให้แล้วไม่มีผล
- การบูชาไม่มีผล
- การบวงสรวงไม่มีผล
- ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี
- โลกนี้ไม่มี
- โลกอื่นไม่มี
- มารดาไม่มีบุญคุณ
- บิดาไม่มีบุญคุณ
- สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี
- สมณพราหมณ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทราบถึงโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง และสามารถทำให้ผู้อื่นรู้ตามด้วย ไม่มี"
ซึ่งจากการประพฤติผิดมิชอบนี้เอง จะส่งผลให้บุคคลนั้น ๆ ต้องไปเกิดยังนรกอเวจีเพื่อใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้หลายร้อยชาติ
จะเห็นได้ว่า คนที่เป็นมิจฉาทิฐินั้น จะเป็นพวกไม่เชื่อเรื่องบุญกรรม การเวียนว่ายตายเกิด ฯลฯ ผมเชื่ออยู่ และที่กระทำทุกวันนี้ ก็เพื่อเผยแพร่ศาสนา
เฮ้อ อุตส่าห์ลงทุนตั้งกระทู้ทั้งๆ ที ก็แสดงความเห็นโง่ออกมา ดันเสือกตั้งชื่อว่า ผู้ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เสียด้วย
คุณผู้ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 (ผู้เยี่ยมชม) ทำไมปัญญามันมีน้อยนัก หลวงพ่อวัดอัมพวันนั้น ท่านไม่ได้เชื่อยุบหนอพองหนออย่างเดียว
ท่านผสมผสานความรู้ของท่านทั้งหมดที่เคยเรียนมา ท่านเคยพูดว่า “วิชาแบบของฉัน” ซึ่งพัฒนาด้วยตัวท่านเองไปมากแล้ว
ถ้าท่านเชื่อมั่นในคำสอนของพระมหาโชดก ท่านจะต้องไม่พูดเรื่อง การเห็นเทวดา การเห็นนางไม้ ฯลฯ เพราะ พระมหาโชดกท่านห้ามเห็นเด็ดขาด
อีกคนหนึ่งคือ ปิยะพันธุ์ อินทสุวรรณ์ คณะที่ปรึกษา ตอบเมื่อ: 10 ส.ค. 53 ดังนี้
.....................................................
เรียนท่านเจ้าของกระทู้ที่เคารพ
ขออนุญาตเรียนนะครับ ครูบาอาจารย์ท่านได้เมตตากล่าวไว้ว่า "ความดี ความชั่ว ไม่มีผู้ใดเป็นผู้สร้าง แต่เป็นตนเองเป็นผู้คิด ผู้พูด ผู้กระทำ
ดังนั้นชาวพุทธที่แท้จริง จะไม่ปล่อยจิตให้ล่องลอยไปเกาะติดกับเหตุปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่เป็นสาเหตุแห่งการสร้างอกุศลกรรม อย่างรู้ไม่เท่าทัน แต่จะหมั่นระวังเหตุปัจจัยภายใน มิให้เกิดขึ้นในจิตใจตน
ตลอดจนพัฒนาจิตให้เจริญงอกงามตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่" "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จากการกระทำของตนเอง" ครับ
ด้วยความเคารพ
.....................................................
คำวิพากษ์วิจารณ์ของผม
ตอนที่ผมบวชอยู่ที่วัดอัมพวันนั้น มีคนหลายคนบอกว่า ผมอย่าสึกเลย ให้อยู่ช่วยหลวงพ่อต่อไป ผมบอกว่าไม่ได้ ผมเป็นครูลาบวช 3 เดือน ต้องออกไปทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว
พวกที่บวชด้วยกันให้ความเห็นว่า “หลวงพ่อไม่มีคนช่วย” คนที่อยู่ๆ ไม่ค่อยมีความรู้ ถึงบัดนี้ ผมก็ยังสงสารหลวงพ่ออยู่ เพราะ คนที่ใกล้ชิดท่าน ไม่ได้มีความฉลาดเลย
คำวิพากษ์วิจารณ์ครั้งนี้ ทำอย่างเบาที่สุดแล้ว เพราะ ยังเกรงใจหลวงพ่อวัดอัมพวันอยู่
ขนาดคณะที่ปรึกษายังมีปัญญา ยังมีสมองในระดับนี้ ถ้าหลวงพ่อวัดอัมพวันท่านละสังขารไปแล้ว วัดอัมพวันก็น่าจะกลายเป็นวัดที่เงียบสงบจริงๆ เสียที คือ ไม่มีใครเข้าไปในวัดเพื่อปฏิบัติธรรมอีกแล้ว
ประการสุดท้าย
ผมกลายเป็นมิจฉาทิฐิของกลุ่มบุคคลในวัดอัมพวัน วัดที่ผมบวชมา 1 พรรษาไปเสียแล้ว...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น