บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

นักศึกษาโง่ๆ

คราวนี้ถึงคราวนักศึกษาบ้าง แสดงว่า นักศึกษาของเราสนใจปฏิบัติธรรมกันมากขึ้น  นักศึกษาคนนี้ ใช้นามแฝงว่า ก็แค่ นศภ. [IP: 111.235.71.29] 14 กันยายน 2553 01:10

ดูฝีมือนักศึกษาบ้างว่า สำนวนภาษาเป็นอย่างไรบ้าง

ดิฉันติดตามบทความของ ดร. ทั้งที่เกี่ยวข้องกับสติปัฏฐาน 4 และกรณีของวิชชาธรรมกาย

ท่าน ดร. เป็นผู้ที่มีภูมิรู้ทางธรรมสูงมาก แต่ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแค่ศีลข้อ 5 ก็ยังรักษาไม่ได้ โดยเฉพาะคำพูด ที่ท่าน ดร. แสดงวาจาหยาบคาบต่อผู้ที่มาแสดงความคิดเห็น ที่มีความคิดเห็นต่างจาก ดร.

ท่าน ดร. ด่าเขากระเจิง คุณทำอะไรลงไปคะ ทำอะไรลงไป...

คนยิ่งเกลียดศาสนามากขึ้น ทำไมไม่คุยกันอย่างดีดีล่ะคะ ตัดคำไม่ดีพวกนั้นทิ้งไปเหลือไว้แต่คำตอบพร้อมเหตุผล

ตอบไปด้วยความเมตตาเขา ผิดถูกก็สอนไปเพื่อแสดงความเป็นผู้ใหญ่ในทางธรรม

คุณพังแล้ว คุณล้มเหลวแล้ว คุณเปิดเว็บมาเพื่อคนของคุณไม่กี่คน แล้วใครพูดผิดหูคุณก็ว่าเขาโง่...

ไม่ใช่แล้ว คุณเจอความคิดจรเข้าไปเต็มแล้ว นั่นพวกฉัน นี่ไม่ใช่พวกฉัน ยิ่งปฏิบัติธรรมยิ่งอัตตาเพิ่ม นี่คืออัตตาของนักปฏิบัติแก้ยากที่สุด....

ถ้าคุณเจริญสติปัฏฐาน 4 ฐานจิต ดิฉันเชื่อว่า อาจจะทำให้คุณลดอัตตาในตัวตนของคุณลงได้ค่ะ

ถึงแม้ความคิดเห็นของคุณดร. จะanti และเชื่อว่าไม่ใช่หนทางนิพพานก็ตาม แต่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ค่ะ....

คนเรามักจะคิดว่าตนเองถูกเสมอ และมักจะมองหาความผิดความเลวของผู้อื่น

ดิฉันขอเวลา ดร. ซัก 1 นาทีนะคะ พิจารณาสิ่งที่ดิฉันตอบไปมันจริงหรือไม่ แล้วควรแก้ไขหรือไม่ แต่ถ้าหากพอใจในการกระทำของตนเองอยู่แล้ว ก็ตามใจท่านดร.เลยค่ะ

เพราะอย่างไรเว็บนี้ดร.ก็สร้างขึ้นเอง จะทำอะไรก็ได้ เชิญ...ค่ะ

ผมเห็นว่า เป็นนักศึกษา ก็เลยตามไปตามสภาพ ดังนี้ (14 กันยายน 2553 07:56)

เรียน คุณก็แค่ นศภ. [IP: 111.235.71.29]

ผมขอแก้ข้อผิดของคุณด้วยและอธิบายไปด้วย

1) ขอบคุณสำหรับคำชม เพราะ คุณเกลียดผม แต่ยังชมนี่ แสดงว่า ความรู้ของผมใช้ได้แน่ๆ

2) การแสดงวาจาคำหยาบ ไม่ใช่ผิดศีล 5 นะครับ อยู่ธรรมะหัวข้ออื่น

3) ข้อเขียนที่ว่า "โง่ก็อยู่ส่วนโง่เถอะ" ไม่ใช่คำด่านะครับ ขออธิบายเพิ่มเติมสักนิด

นักวิชาการส่วนใหญ่ เวลาท่านจะ "ด่า" คนนั้น ท่านจะใช้คำพูดหรือข้อเขียนที่ดูแล้ว ไม่เหมือนคำด่า เช่น

คุณยังไม่ศึกษา คุณยังไม่เข้าใจ คุณยังไม่รู้ ทั้งหมดนี้ คนอ่านก็คือ "คนโง่" ทั้งนั้น แต่อ่านแล้วดูดี แต่ผมไม่ชอบลักษณะแบบนั้น ผมชอบพูดตรงๆ เขียนตรงๆ มันจะดูหยาบคายไปนิด แต่จริงใจนะคุณ

ถ้าคนอ่านยังมีสติที่ดีอยู่บ้าง กลับไปคิดไปนึก ศึกษาเพิ่มเติม ข้อเขียนของผมก็ได้ผล

4) คำว่า "อัตตา" ที่คุณใช้ยังผิดความหมายนะครับ ความหมายที่คุณหมายถึง ควรจะใช้คำว่า อัสสิมานะ คือ คำที่ลงท้ายด้วยมานะ ทั้งหลาย

คำว่า "อัตตา" นี้ ผมเคยเขียนเป็นหนังสือไว้ มีไฟล์ pdf ด้วย คุณอยากอ่านส่งอีเมล์มาให้ผม ผมจะส่งไปให้อ่าน

5) การที่เราจะไปสอนใครนั้น ดูก่อนว่า เขายินดีให้เราสอนหรือไม่ ยิ่งในทางสาธารณะอย่างนี้ ไม่ควรไปเตือนใคร อย่างที่เตือนผมนี่ เพราะ เขาไม่ได้บอกก่อนว่าให้เตือนได้ ทำแบบนี้ฝรั่งเขาเรียกว่า "none of your business"

ในบล็อกอย่างนี้่ เขาจะถกเถียงกันเรื่องวิชาการอย่างเดียว

6) เว็บนี้ ผมไม่ได้ทำนะครับ เป็นของ gotoknow ผมมาใช้บล็อกเพื่อเสนอความเห็นเท่านั้น

7) ข้อเขียนสำนวนภาษาการเผยแพร่ธรรมะแบบผมนี้ ผมคิดขึ้นมาใหม่ล้วนๆ ผมไม่เห็นด้วยว่า ถ้าเราเป็นคนปฏิบัติธรรมแล้ว ใครมาวิพากษ์วิจารณ์ต้องนิ่ง ก้มหน้าร้องไห้ เป็นนางเอกหนังไทย รักษาความเป็นผู้ดี อยู่ทุกวินาที

ใครกวนมาเราก็กวนไป ใครด่ามาเราก็ด่าไป มันได้ผลนะคุณ อย่างน้อยก็คุณคนหนึ่งนั่นแหละ

ต่อไปถึงคราวคุณชัยวัฒน์ [IP: 112.142.232.76] 24 กันยายน 2553 11:08 คุณชัยวัฒน์คงติดตามอ่านบทความของผมมาพักหนึ่งแล้ว  ท่านเข้ามาด้วยสำนวนภาษา ดังนี้

บอกตรงๆว่า เสียดายๆๆ......ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ.

รสเผ็ด..ใครๆก็รู้..พูดบรรยายได้สาระพัด...เผ็ดพริกขี้สวน..เผ็ดพริกชี้ฟ้า..เผ็ดพริกไทย ฯลฯคนที่เคยกินเท่านั้นที่รู้..แล้วก็จะพูดไม่เป็นเลย...เพราะรู้ว่าถ้าพูดแล้วจะผิดจาก ความเป็น "ปรมัตถ์สัจจะ"..ของความเผ็ด..

แท้จริงแล้ว..ความจริงที่จริงแท้นั้น..อธิบายไม่ได้..บอกไม่ได้ ด้วยภาษาพูด...ด้วยซ้ำไป..

ผมยืนอยู่กลางทุ่งข้าวเขียวขจี..น้ำปริ่มๆโคนกอข้าว..ทุ่งข้าวดุจพรมเขียวขจีผืนใหญ่ปูลาดทอดยาวจรดตีนโค้งฟ้า..ขณะตะวันกำลังสาดแสงสุดท้ายที่ปลายขอบโค้งฟ้า...

ผู้ที่เคยยืนอยู่ตรงนั้น ในบรรยากาสอย่างนั้น..ด้วยสายตาที่ปกติไม่มือบอด ..ย่อมบ่งบอกถึงอารมณ์ ความรู้สีกที่ยากบรรยาย กับภาพแห่งความงามนั้น..

หากเราเอ่ยกับคนตาดี และเคยสัมผัสกับอารมณ์เช่นนั้นมา เช่นเดียวกับเรา...ก็ไม่ต้องบรรยายอะไรแล้ว...แต่ถ้าเราพูดกับคนตาบอด..หรือกับคนที่ไม่เคยอยู่ในขณะแห่งอารมณ์นั้นมา

คุณ นศภ. ครับ...เราจะยัดเยียดอย่างไรให้เขารับรู้ความจริงของรสเผ็ดและอารมณ์นั้น เราพูดให้ตายก็ไม่มีประโยชน์....

เขียนนี่ก็ด้วยความระมัดระวังและถ่อมตัวถ่อมใจ เกรงอยู่ครามครันว่าท่าน ด๊อกเตอร์ จะตำหนิเอาอีก..ก็เขียนอย่างคนรู้น้อย..ศึกษาน้อย..ครูบาอาจารย์น้อย..

ด๊อกเตอร์เก่งนะครับ...ยกตัวเองว่า..เพื่อให้เกิดวิวาทะ..อะไรทำนองนั้น..คล้ายๆหลวงพ่อพุทธทาส ที่ท่านเปิดประเด็นแนวคิดและคำสอนหลักธรรมในยุคแรกๆ ที่ผ้คนฮือฮามาก..และก็ส่งผลดีแก่ชาวพุทธในปัจจุบัน...แต่ต่างกับ ด๊อกเตอร์ ตรงที่หลวงพ่อท่านอ่อนน้อมถ่อมตัว ถ่อมใจกว่าเยอะเลย....

เมื่อมีคนโจมตีมาอย่างนั้น  ผมก็ตอบไปดังนี้ (24 กันยายน 2553 12:50)

เรียน คุณชัยวัฒน์

ผมก็เสียดายเหมือนกันว่า ที่ผมเขียนไปข้างบนโน่น เป็นประเด็น เป็นวิชาการ ทำไมสาวกของสายพอง-ยุบ กับสาวกของสายนาม-รูป หาหลักฐานอย่างเป็นวิชาการมาโต้แย้งไม่ได้ เชียวหรือ.........

สายพอง-ยุบ กับสายนาม-รูป มีแต่ความเชื่ออย่างมืดบอดทางปัญญาเท่านั้นหรือ............

ที่ไม่รู้หนักๆ เลยก็ข้อเขียนนี้ "แท้จริงแล้ว..ความจริงที่จริงแท้นั้น..อธิบายไม่ได้..บอกไม่ได้ ด้วยภาษาพูด...ด้วยซ้ำไป.."

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง พระพุทธเจ้าคงสอนใครไม่ได้แน่ๆ คงไม่มีพระอรหันต์สาวกแน่ๆ รู้น้อยก็ศึกษาเพิ่มเติมได้ รู้มากพอที่จะถกเถียงกันได้ ค่อยเข้ามาใหม่ก็แล้วกัน

เฮ้อ..... ความรู้สู้กันไม่ได้ ก็ละเมอเพ้อพกไป หมดแน่ๆ สายพอง-ยุบ กับ สายนาม-รูป เห็นทีจะต้องหมดไปจากประเทศไทยแน่ๆ

คุณชัยวัฒน์นี่ แกคงโมโหสั่นไปหมดทุกสัดส่วนของร่างกาย คราวนี้ แกเขียนมายาวเหยียดเฉียดเมืองใต้เลย (ตอนเด็กๆ มีแสดงกลบ่อย ยาวเหยียดเฉียดเมืองใต้เป็นชื่อของงูจงอาง ตั้งแต่ดูมา ยังไม่เคยมีผู้แสดงกลวงไหน ให้มันกัดกันพังพอนจริงๆ สักที)
               
ชัยวัฒน์ [IP: 112.142.232.7] 26 กันยายน 2553 00:53

นกแก้ว นกขุนทอง พูดทุกวัน..พ่อจ๋าๆๆ..แม่จ๋าๆๆ..

ความเป็นนักวิชาการของด๊อกเตอร์ที่รอบรู้ครอบจักรวาฬคิดว่า..มันรู้จักความหมายของคำๆนี้ไหม..?ลองใช้ความรู้ระดับด๊อกเตอร์อธิบายให้คนโง่ที่รู้น้อยอย่างผมเข้าใจหน่อย...

ผมไม่รู้อะไรมากนัก..เก็บเกี่ยวความรู้จากหนังสือบ้าง ปฎิบัติบ้าง..ลองผิดลองถูกบ้าง ทดลองค้นคว้าเท่าที่สติ-ปัญญาและโอกาสจะเอื้อหรือเกื้อกูลให้..อ่านหนังสือด้วยความหิวที่เป็นภาษาไทย(พูดตรงๆเพราะผมไม่มีฐานความรู้ด้านภาษาต่างประเทศ..ไม่อยากบอกว่าเพราะยากจน..จนต้องอาศัยข้าวก้นบาตรเลี้ยงชีวิต เป็นรากฐานสำคัญในการประคองสติ) ทุกประเภทเกือบหมดห้องสมุด ตั้งแต่อายุ 16 ปี ก็เลยพอจะเข้าใจอะไรอยู่บ้าง แต่ก็คงรู้น้อยกว่าด๊อกเตอร์อยู่ดีนั่นแหละ...ที่พูดมานี่ ไม่ใช่มารำพึงรำพันอะไรให้เสียเวลาอันมีค่าให้ด๊อกเตอร์ต้องตอบโต้..แต่อยากได้ความความรู้เพิ่มเติม..ได้เห็นความต่างทางความคิด..มันคงไม่ไร้ค่าและต่ำต้อยด้อยค่าเกินไป จนทำให้ด๊อกเตอร์ที่สูงส่งด้วยความรู้ที่เลอเลิศ ค้องมาดูถูกดูแคลนดอกกระมัง..?

ด๊อกเตอร์อาจบอกว่าตัวเองเป็นคนตรง พูดตรง...ดีครับ..โลกใบนี้หาคนอาจหาญเช่นนี้น้อยนัก..แต่ประเด็นไม่ใช่อยู่ตรงนี้..

นิดเดียว..."ภาษา"ของมนุษย์นั้น เป็นสมมติสัจจะ...เป็นเครื่องมือสื่อสารของสังคมใดสังคมหนึ่งโดยเฉพาะ..ไม่ใช่สิ่งอันเป็นสากล...(ตรงนี้ผมไม่อธิบาย เพราะเชื่อว่า ในความเป็นด๊อกเตอร์นั้น ต้องเข้าใจได้ลุ่มลึกกว่าผมแน่นอน)

ดังนั้น..ความเข้าใจที่ว่า ภาษาพูดใช้อธิบายหลักธรรมคำสอนนั้น จึงน่าจะเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของด๊อกเตอร์เอง แท้จริงแล้ว..เป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารแทนสัญญลักษณ์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กลุ่มชนนั้นสมมติเรียกขึ้น เพื่อสื่อสารกันในระหว่างกลุ่มชนเท่านั้น..(ย้ำ.ภาษา เป็นสมมติสัจจะ ไม่ใช่ปรมัตถ์สัจจะ) "ภาษาธรรม" เป็นภาษา สากลครับ..ไม่มีคำเรียกแทน คำว่า มะม่วง สัปรด น้อยหน่า ฯลฯ ภาษาเรียกนี้ เป็นของเราครับ ชาวต่างชาติไม่รู้หรอกครับ แต่ถ้าเขาเห็น เขาก็ต้องร้อง อ๋อ...แต่เขาเรียกเป็นอย่างอื่นตามที่กลุ่มชนในสังคมเขาสมมติเรียกขึ้น..ภาษาธรรม มันจึงไม่ใช่ มะม่วง หรือ mango ฯลฯ แต่มันเป็น "ภาษา" ที่มาจากภายใน มันเป็นภาษาที่ผมรู้ ด๊อกเตอร์รู้ ชาวต่างชาติรู้..รู้โดยไม่ต้องพูด รู้โดยไม่ต้องใช้ภาษาเรียกของสังคมหรือกลุ่มชนใดๆเลย..รู้ตั้งแต่มนุษย์ยังไม่มีภาษาพูดด้วยซ้ำไป..

"ธรรม" เป็นเช่นนั้นเอง..แล้วด๊อกเตอร์จะใช้ภาษาอะไรเรียกมัน จะใช้ภาษาอะไรอธิบายมัน..!?

ในความมืดบอดของผม..ที่ผมเคยกินพริกชี้ฟ้าแดง ย่อมรู้ว่า รสความเผ็ดนั้น ต่างจากพริกไทยอย่างไร..? ผมจะใชภาษาอะไรอธิบายให้คนที่ไม่เคยกิน ได้รู้รสนั้น..? อารมณ์ขณะยืนอยู่กลางทุ่งข้าว ในช่วงเวลาขณะอาทิตย์อัศดดงนั้น ผมจะใชภาษอะไรดีถึงจะบรรยายถึงความสวยงามที่ผมเห็นให้คนที่ไม่เคยยืนอยู่ตรงนั้นได้รับรู้..?

ด้วยการจำกัดความรู้ให้อยู่ในขอบเขตอันจำกัดและน้อยนิดนี่เองที่ทำให้ผมพอได้พบ (ธรรม)บ้าง..ได้เห็น(ธรรม)บ้าง โดยไม่ต้องอาศัยหรือใช้ความรู้ทางวิชาการหรือจากหนังสือที่เคยอ่านมานับร้อยนับพันเล่มมาชี้นำทางอ้างอิง เมื่อผมปล่อยวางสิ่งที่เราเรียกว่า "ความรู้"ลง ผมจึงได้เห็นแก่นแกนภายในที่ถูกเปลือกอันหนาทึบแห่งสิ่งที่เราเรียกว่า "ความรู้"ห่อหุ้มอยู่

ผมยังยืนยันด้วยความรู้น้อยๆนี้.."ธรรม" หรือ"ความจริงที่จริงแท้"นั้นอธิบายไม่ได้ บอกไม่ได้..ดังกล่าวมา..

ผมแตะต้องได้กับสิ่งนี้..เหมือนที่หลวงพ่อพุทธทาส ท่านพูดไว้อย่างหนักแน่น และในประเด็นนี้..ผมเชื่อหลวงพ่อพุทธทาสมากกว่าด๊อกเตอร์ครับ..!

คำพูดนี้ "ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง พระพุทธเจ้าคงสอนใครไม่ได้แน่ๆ คงไม่มีพระอรหันต์สาวกแน่ๆ" ของด๊อกเตอร์ เด็กจากท้องนาคนหนึ่งบังอาจ บอกด๊อกเตอร์ เหมือนที่ด๊อกเตอร์ชอบบอก(จะเรียกว่าตำหนิหรือด่าดีล่ะ สำหรับผมแล้ว ผมบอกว่า ดุดัน, อหังการ์,ยะโสโอหัง,ก้าวร้าวฯลฯ ดีกว่า)คนอื่นว่า ลองทบทวนความรู้ทั้งหมดที่รู้มาดูว่า รู้และเข้าใจในที่มา(โครงสร้าง)ของความคิดคนอื่นจากภาษาที่เขาเขียนมากน้อยเพียงใด สมกับความรู้ที่ร่ำเรียนมาในความเป็นด๊อกเตอร์หรือไม่..?

สำเร็จร้อยด๊อกเตอร์ พันปริญญา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้ "ธรรม"...อย่าเข้าใจตลาดเคลื่อนนะด๊อกเตอร์..

ด๊อกเตอร์คงไม่แคร์ ไม่ยินดียินร้ายกับคำชื่นชมของใคร...ผู้ใดดูถูก ดูแคลน ดูหมิ่น เหยียดหยามเย้ยหยัน ผู้อื่นว่า ต่ำต้อยด้อยกว่าตนจะในฐานะอะไรก็ตามที..ผู้นั้นมีแต่จะตกต่ำ เสื่อมทราม ไร้เกียรติในท่ามกลางหมู่กัลยาณชน และผู้นั้นจะไม่มีวันที่ลมหายใจแห่งสติสัมผัสดวง "ธรรม"ได้เลย เพราะความ "ถ่อมตน" คือความงดงามแห่งจิต ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่ง "ดวงธรรม"

บอกกล่าวและยืนยันผ่านช่องทางนี้กับผู้ที่ยัง"ท่องไป"(ไม่เกี่ยวกับด๊อกเตอร์ เดี๋ยวจะหาว่าสอน ใครจะไปกล้า..! เพราะกลัวว่าจะถูกตำติเตียนด้วยก้าวร้าว)โดยไม่เหน็ดเหนื่อยและหนักอี้งกับความรู้จากตำหรับตำราที่แบกไว้บนบ่าว่า หากคุณไม่อยากเหนื่อย ก็ลอง "หยุด" ดูบ้าง ลองวางดูซิ แล้วคุณจะรับรู้ถึงความรู้สึก "เบา"

การแสดงออกทางภาษา บอกถึงระดับอารมณ์ของจิต...ว่า..คุณภาพของจิตนั้นพัฒนาถึงระดับใด...ความรู้ที่ถูกอ้างว่าเป็นวิชาการ และรองรับด้วยใบประกาศมากใบ นั่นเป็นสถานภาพแห่งความเป็นโลกียชน..มันเกี่ยวอะไรกับสถานภาพแห่งอริยชน..?

ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาทางวิชาการเป็นถึงด๊อกเตอร์..มาเป็นอาภรณ์ห่อหุ้มตัวตนจนมืดมิดเห็นแต่โลกของตัวเอง(ไม่อยากบอกว่า กบในกะลา) แสงแห่งธรรมไหนเลยจะสาดกระทบได้..

ด๊อกเตอร์พูดภาษาวิชาการย่ำยีหยามหยันผู้อื่น..ที่เขาพูดจาภาษาธรรม ..มันคนละภาษารู้ไหม..?

สิ่งที่ผมได้พบ(บางอารมณ์) ผมขอยืนยัน ในคำพูดหลวงพ่อพุทธทาส.."ธรรม"..หรือ "ความจริงที่จริงแท้" นั้น พูดไม่ได้ บอกไม่ได้ อธิบายไม่ได้ด้วยภาษามนุษย์..( ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ) เพราะยิ่งอธิบายก็จะยิ่งผิดเพี้ยน..

ผมเชื่อด้วยความเคารพและศรัทธาในองค์หลวงพ่อพุทธทาสว่า ท่านแตกฉานและรู้ "ธรรม"อย่างลุ่มลีกด้วยการปฎิบัติและการอ่านศึกษาอย่างกว้างขวาง มากกว่าด๊อกเตอร์ครับ หรือด๊อกเตอร์จะบอกว่าไม่จริง..?

เด็กท้องนาคนหนึ่ง (พูดให้สะใจด๊อกเตอร์ดูถูกเล่นๆน่ะครับ) อยากถามด๊อกเตอร์ว่า ..เป็นค๊อกเตอร์จริงๆ..หรือเปล่า..? ถ้าเป็นจริง อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่า หลักวิชาการนั้น ไม่มีวันที่จะนำมาจับประเด็นธรรมได้เลย...เป็นคู่ขนานกันครับ..!

หลักฐานทางวิชาการ แค่(ผมใช้คำว่า "แค่")องค์ความรู้ทางโลกกายภาพ ใครๆก็เข้าถึงได้ เพียงอ่านหรือวิเคราะห์เป็น แล้วนำมาอ้างว่า มาจากโน่น จากนี่ (ไม่ต้องมีใบประกาศมารองรับว่าเป็นด๊อกเตอร์กี่ด๊อกเตอร์) ก็สร้างความเชื่อถือในทางโลกได้..แต่ผู้ที่บรรลุธรรม ไม่มีใบประกาศใดรับรองได้ครับ..คุณอยากได้หลักฐาน คุณต้องลงมือปฎิบัติเองเพื่อให้ได้เครื่องมือไปตรวจสอบ..(ถ้าด๊อกเตอร์เป็นชาวพุทธที่แท้อย่าอ้างว่าไม่รู้ในเรื่องนี้ เว้นแต่ไม่ใช่) ไม่ใช่ว่ามีความรู้ระดับด๊อกเตอร์แล้วจะมาตรวจสอบเรื่องนี้ได้..

ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ..คำว่า วิญญู ในที่นี่ ไม่ใช่ระดับด๊อกเตอร์ครับ..หรือว่าด๊อกเตอร์ไม่รู้..ถ้าไม่รู้..หรือรู้แต่ไม่จริง...ถึงขั้นนี้แล้ว..ความเป็นด๊อกเตอร์จะมีความหมายอะไร..จบที่ไหนครับ..ผมจะได้บอกโคตรเหง้าเหล่ากอและพวกพ้องลูกหลานผมไม่ให้ดนื๘ไปเรียน ต่อให้เรียนฟรีแถมเงินเดือนระหว่างเรียนยังไม่ให้ไปเลย..

เมื่อศัตรูทางความคิดพลาดพลั้งลงไป เราก็ต้องกระทืบซ้ำเสียหน่อย ดังนี้ (26 กันยายน 2553 21:55)

ไปไม่เป็นอีกคนหนึ่งแล้ว เขาว่า อยู่ดีไม่ว่าดี จะมาเพ้อรำพันอะไร บันทึกแบบนี้ เขาต้องการการโต้แย้งอย่างเป็นวิชาการ

ผมเรียนปริญญาตรีเอกภาษาไทย ปริญญาโทภาษาศาสตร์ ปริญญาเอกสหวิทยาการ แต่ในการทำดุษฎีนิพนธ์ ผมใช้วิชาภาษาศาสตร์เป็นหลัก

ผมเป็นอาจารย์สอนภาษาไทย ความรู้ทางด้านภาษา คุณไม่ติดฝุ่นผมหรอก แนะนำให้ดีๆ ก็ไม่ฟัง ไปศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้น ที่นี่ไม่ใช่ที่รำพึงรำพัน ที่นี่ต้องการความรู้

ที่คุณละเมอเพ้อพกเรื่องภาษามานั่น ก็ไอ้แค่ไปจำเขามา ยังไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำ




7 ความคิดเห็น:

  1. อคตินะคุณน่ะ

    ตอบลบ
  2. จริง ๆ แล้ว ในเรื่องของศีล ๕ ในข้อที่ ๔ มุ่งหมายถึงเฉพาะการงดเว้นจากการกล่าวเท็จ หมายความว่า ถ้ามีความจงใจที่จะกล่าวคำเท็จ กล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ได้เห็นก็บอกว่าไม่เห็น กระทำก็บอกว่าไม่ได้กระทำ อย่างนี้ คือ ลักษณะของการกล่าวคำเท็จ ผิดศีลข้อที่ ๔ สำหรับประเด็นเรื่องคำหยาบคาย

    สำคัญอยู่ที่จิต ว่าจะเป็นคำหยาบหรือไม่หยาบ ถ้ามีการพูดคำที่หยาบคาย กล้าแข็ง เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น เสียดสีผู้อื่น นี้คือ ลักษณะของการพูดหยาบคา่ย ซึ่งเป็นอกุศล เป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย ไม่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ซึ่งองค์ของผรุสวาจา มี ๓ คือ มีบุคคลที่จะพึงด่า ตนเองมีความโกรธ และได้ด่าผู้นั้น ดังนั้น การพูดคำที่พูดกันเป็นปกติ ก็สามารถพิจารณาจากองค์ ๓ ประการนี้ได้ว่า เป็นวาจาหยาบหรือไม่หยาบ

    ชีวิตประจำวัน ยากที่พ้นไปจากอกุศล เมื่อกล่าวอย่างกว้าง ๆ แล้วขณะใดที่จิตไม่ได้เป็นไปทาน ศีล การอบรมความสงบของจิต และ การอบรมเจริญปัญญาแล้ว

    นอกจากนั้น เป็นอกุศลทั้งหมด หลังเห็น หลังได้ยิน หลังได้กลิ่นเป็นต้น อกุศลเกิด

    ขึ้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว เป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นแต่ละหนึ่งจริง ๆ

    การกล่าววาจาหยาบก็เช่นเดียวกัน ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับได้ ก็ยังมีเหตุปัจจัยให้

    กล่าววาจาหยาบออกมาได้ เพราะผู้ที่จะดับการกล่าววาจาหยาบคายได้อย่างเด็ดขาด ต้องถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามี

    วาจาหยาบ เพราะจิตใจหยาบ เนื่องจากเป็นอกุศลจิต แม้จะเป็นวาจาที่ดูไพเราะ

    แต่เจตนาร้าย มุ่งร้ายต่อผู้อื่น ก็เป็นวาจาหยาบ เพราะฉะนั้น การได้ฟังพระธรรม

    ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะทำให้เห็นโทษของอกุศลที่เกิดขึ้น

    ในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะยังไม่สามารถดับได้อย่างเด็ดขาด แต่ก็สามารถขัดเกลา

    ได้ในชีวิตประจำวัน มีความละอาย และความเกรงกลัวที่จะถอยกลับจากอกุศลประการนั้นๆ ได้ครับ

    ตอบลบ
  3. จริง ๆ แล้ว ในเรื่องของศีล ๕ ในข้อที่ ๔ มุ่งหมายถึงเฉพาะการงดเว้นจากการกล่าวเท็จ หมายความว่า ถ้ามีความจงใจที่จะกล่าวคำเท็จ กล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ได้เห็นก็บอกว่าไม่เห็น กระทำก็บอกว่าไม่ได้กระทำ อย่างนี้ คือ ลักษณะของการกล่าวคำเท็จ ผิดศีลข้อที่ ๔ สำหรับประเด็นเรื่องคำหยาบคาย

    สำคัญอยู่ที่จิต ว่าจะเป็นคำหยาบหรือไม่หยาบ ถ้ามีการพูดคำที่หยาบคาย กล้าแข็งเป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น เสียดสีผู้อื่น นี้คือ ลักษณะของการพูดหยาบคา่ย ซึ่งเป็น

    อกุศล เป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย ไม่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ซึ่งองค์ของผรุสวาจา มี ๓ คือ มีบุคคลที่จะพึงด่า ตนเองมีความโกรธ และได้ด่าผู้นั้น ดังนั้น การพูดคำที่พูดกันเป็นปกติ ก็สามารถพิจารณาจากองค์ ๓ ประการนี้ได้ว่า เป็นวาจาหยาบหรือไม่หยาบ

    ชีวิตประจำวัน ยากที่พ้นไปจากอกุศล เมื่อกล่าวอย่างกว้าง ๆ แล้วขณะใดที่จิตไม่ได้เป็นไปทาน ศีล การอบรมความสงบของจิต และ การอบรมเจริญปัญญาแล้ว นอกจากนั้น เป็นอกุศลทั้งหมด หลังเห็น หลังได้ยิน หลังได้กลิ่นเป็นต้น อกุศลเกิดขึ้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว เป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นแต่ละหนึ่งจริง ๆ

    การกล่าววาจาหยาบก็เช่นเดียวกัน ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับได้ ก็ยังมีเหตุปัจจัยให้กล่าววาจาหยาบออกมาได้ เพราะผู้ที่จะดับการกล่าววาจาหยาบคายได้อย่างเด็ดขาด ต้องถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามี

    วาจาหยาบ เพราะจิตใจหยาบ เนื่องจากเป็นอกุศลจิต แม้จะเป็นวาจาที่ดูไพเราะแต่เจตนาร้าย มุ่งร้ายต่อผู้อื่น ก็เป็นวาจาหยาบ เพราะฉะนั้น การได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะทำให้เห็นโทษของอกุศลที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะยังไม่สามารถดับได้อย่างเด็ดขาด แต่ก็สามารถขัดเกลาได้ในชีวิตประจำวัน มีความละอาย และความเกรงกลัวที่จะถอยกลับจากอกุศลประการนั้น ๆ ได้ ครับ.

    ตอบลบ
  4. เพ้ออะไรของคุณ ว่างมากหรือไง เขียนให้มันมีสาระหน่อย...

    ที่ผมเขียนไป มันผิดอย่างไร ว่ามา........ อย่ามามั่วแถวนี้ ...

    ตอบลบ
  5. ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ23 ตุลาคม 2556 เวลา 13:39

    ศีลมันมีองค์ประกอบของมันอยู่นะ นักเลงธรรมจะตำหนิท่านว่าผิดศีล ก็เอามาชี้แจงให้ท่านรู้สิว่าท่านผิดตรงใหน ไม่ใช่อยู่ๆ มาบอกว่าผิด ท่านเป็นถึง ดร. เชียวนะคุณ จะให้ท่านไปหาว่าตัวเองผิดตรงใหนมันดูหมิ่น ดร. เกินไป เราอ่านเจออะไรกันมา ศึกษาเจออะไรกันมา ก็หามาชี้แจงท่านสิ ว่าท่านผิดตรงใหน จริงไหมครับ ดร. อ้อ อย่าลืมใช้สำนวนวิชาการด้วยล่ะ สำนวนเราๆ ท่านจะตำหนิเอาได้ แค่คำว่าอัตตา ที่มันมีความหมายในเชิงสำนวนว่าถือตัว มีมานะ เราเอามาใช้ว่าท่าน ท่านยังโดด เหยงๆ เลยว่าเราใช้ผิดความหมาย พวกนี้ รู้น้อยแล้วพูดมากเนอะท่าน ดร.

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คุณมาเพ้อเจ้อเรื่องอะไร ให้ความเห็นผิดบล็อกหรือเปล่า

      ลบ