บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ปฏิเสธการเห็น



ในบันทึกที่ผ่านมา ผมชี้ให้เห็นข้อบกพร่องอย่างฉกาจฉกรรจ์ของพระพม่าไปแล้ว 3 ประเด็น ในบันทึกนี้ เรามาต่อประเด็นที่เหลือทั้งหมด

4) พยายามแปลความหมายของสติปัฏฐาน 4 ให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม

เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป อย่างไม่มีใครกล้าโต้แย้งและโต้เถียงก็คือ สติสติปัฏฐาน 4 ประกอบด้วย

[1] กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มาจาก กาย + อนุ + ปัสสนา + สติ + ปัฏฐาน
[2] เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มาจาก เวทนา + อนุ + ปัสสนา + สติ + ปัฏฐาน
[3] จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน มาจาก จิต + อนุ + ปัสสนา + สติ + ปัฏฐาน
[4] ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน มาจาก ธรรม + อนุ + ปัสสนา + สติ + ปัฏฐาน

สาวกของสายยุบหนอพองหนอ กับสายนามรูป พยามยามแปลองค์ประกอบหลักของสติปัฏฐาน 4 ไปในทำนองนี้

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ
การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันกายและเรื่องทางกาย

เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ
การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันเวทนา

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ
การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันจิตหรือสภาพและอาการของจิต

ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ
การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันธรรม; เรียกสั้น ๆ ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม

ซึ่งเป็นความพยายามที่จะแปลสติปัฏฐาน 4 ให้ผิดเพี้ยนไปจากคำแปลที่ถูกต้อง

คำว่า อนุ + ปัสสนา + สติ + ปัฏฐาน มีความหมายของแต่ละคำ ดังนี้

อนุ  พจนานุกรมฉบับล่าสุดให้ความหมายของคำว่า อนุไว้ว่า

คำประกอบหน้าศัพท์บาลีหรือสันสกฤตมีความหมายว่า น้อย เช่น อนุทิศ = ทิศน้อย, ภายหลัง, รุ่นหลัง เช่น อนุชน = ชนรุ่นหลัง, ตาม เช่น อนุวัต = เป็นไปตาม, เนืองๆ เช่น อนุศาสน์  = สอนเนืองๆ คือ พร่ำสอน.

ปัสสนา = เห็น
สติ = สติ
ปัฏฐาน = ที่ตั้ง

ดังนั้น องค์ประกอบของสติปัฏฐาน 4 นั้น  ถ้าแปลกันในถูกต้องแล้ว ควรจะแปลดังนี้

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน  แปลว่า ที่ตั้งแห่งสติอันตามเห็นซึ่งกาย
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งแห่งสติอันตามเห็นซึ่งเวทนา
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งแห่งสติอันตามเห็นซึ่งจิต
ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งแห่งสติอันตามเห็นซึ่งธรรม

จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สติปัฏฐาน  4 เป็นอนุปัสสนา ไม่เป็นวิปัสสนา

ขนาดวิปัสสนาเองแต่เพียงอย่างเดียว ยังไม่สามารถทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้  การปฏิบัติธรรมที่เป็นเพียงอนุปัสนา จึงไม่สามารถทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้อย่างเด็ดขาด

การพยายามแปล “ปัสสนา ซึ่งแปลว่า เห็นไปเป็น "พิจารณา" หรือ "กำหนด" เป็นความผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยของกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมของสายพองยุบ-นาม รูป

เนื่องจาก มองในแง่มุมของภาษาศาสตร์  ไม่มีหนทางใดๆ ที่เป็นวิชาการ ที่จะแปลไปเช่นนั้นได้

สาเหตุก็เกิดจาก กลุ่มพระภิกษุชาวพม่านั้น  ศึกษาเน้นไปทางพระอภิธรรม แต่ตัวท่านเหล่านั้น  ได้ถูกองค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์ครอบงำ จนไม่เชื่อในองค์ความรู้ของศาสนาทั้งหมด

พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ไม่เชื่อว่า จักษุในศาสนาพุทธมี 5 ประเภท

ประเภทแรกคือ ตาเนื้อ จักษุอีก 4 ประเภทเป็นตาภายใน  จึงปฏิเสธ "การเห็น" เสียหมดว่าไม่เป็นจริง ไม่ได้แยกแยะว่า การเห็นที่เป็นกิเลสก็มี  การเห็นที่เป็นไปตามหลักสูตรของพระพุทธเจ้าก็มี

5) การปฏิเสธการเห็นของสายพองยุบ-นามรูป ถือว่าเป็นความผิดขั้นร้ายแรงที่สุด

ในศาสนาพุทธนั้น เครื่องมือสำคัญอย่างยิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ "เห็น" กับ "รู้

ในพระไตรปิฎกจะมีคำว่า "เห็น" กับ "รู้" อยู่เป็นจำนวนมาก  ถ้าขาดการเห็น "การรู้ยิ่ง" ที่สามารถทำให้บรรลุพระอรหันต์จะเกิดขึ้นไม่ได้

คำว่า "เข้าใจ (understanding) ไม่มีในพระไตรปิฏก

ดังนั้น จะมาแปลคำว่า "ทัสสนะ", "ทิฏฐิ",  "ปัสสนา" ซึ่งมีรากศัพท์ที่แปลว่า "เห็น" ไปเป็น "เข้าใจ" ไม่ได้

การปฏิเสธ "การเห็น" สืบเนื่องมาก การเข้าใจผิดของพระภิกษุชาวพม่า เพราะท่านเองทำไม่ได้  เมื่อทำไม่ได้ แต่อยากสอน ก็ตีความคำว่า เห็นเป็นอย่างอื่นไป เช่น เข้าใจ รู้สึก พิจารณา กำหนด เป็นต้น

สาวกของสายพองยุบ-นามรูป ไปเรียนมาจากพระภิกษุชาวพม่าจึงเข้าใจผิดตามกันไป

พูดง่ายๆ ก็คือ เชื่อพม่าแต่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เพราะคำสอนของพม่าดังกล่าวนั้น ขัดกับคัมภีร์วิสุทธิมรรคและขัดกับพระไตรปิฎก

ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าก็ต้องตีความตามตัวอักษร เห็น ก็คือ เห็น จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ 

วิชาที่ตนปฏิบัติทำไม่ได้ ก็ต้องไปดูสายปฏิบัติธรรมอื่นๆ ว่ามีใครทำได้บ้างไหม  ถ้าไม่มีใครทำได้เลย ก็ยึดของตัวไป เพราะ เป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว

พระภิกษุชาวพม่านั้น โชคร้ายมากๆ เพราะ ในประเทศพม่าไม่มีสายปฏิบัติธรรมใดทำได้เลย

แต่ในเมืองไทยมีสายปฏิบัติธรรมที่ทำได้  พิสูจน์ได้ คือ สายวิชาธรรมกาย  ถ้าเป็นนักวิชาการจริง  ก็ควรมาศึกษาดู  หรือถ้าจะลองปฏิบัติตามด้วยตนเอง ก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

การเห็นของวิชชาธรรมกายนั้น มีบันทึกไว้เป็นหลักสูตร และมีคนทำได้ พิสูจน์ได้ เป็นแสนๆ คนแล้ว ตั้งแต่เด็ก  3  ขวบ จนถึงคนชรา สามารถพิสูจน์ได้ให้เห็นอย่างเป็นวิทยาศาสตร์

เมื่อรู้ว่าวิชชาธรรมกายสอนได้ ทำได้ แต่ก็ไม่เชื่อคนไทย องค์ความรู้ไทย ไปเชื่อพระชาวพม่า ทั้งที่ๆ คำสอนนั้นก็ขัดกับคัมภีร์วิสุทธิมรรคและขัดกับพระไตรปิฎก

อย่างนี้ ท่านว่า มันเป็น "กรรมของสัตว์"

6) การปฏิบัติแบบสายพองยุบ-นามรูปเป็นเพียงวิธีปฏิบัติเพียงส่วนหนึ่งของสติปัฏฐาน  4 เท่านั้น

การปฏิบัติธรรมตามแบบของสายพองยุบ-นามรูปนั้น  บุคคลสำคัญๆ ยอมรับเองว่า เป็นเพียงการพิจารณาอิริยาบถใหญ่และอิริยาบถย่อยเท่านั้น

เนื่องจากทำให้พิจารณาง่าย การปฏิบัติธรรมเพียงเท่านั้น  เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสติปัฏฐาน 4 เท่านั้น

ขนาดที่ว่าสติปัฏฐาน 4 เอง ยังเป็นเพียงอนุปัสนาเท่านั้น  การปฏิบัติธรรมแต่เพียงส่วนหนึ่งของสติปัฏฐาน 4 จึงไม่สามารถทำให้สายปฏิบัติธรรมแบบพองยุบ-นามรูปเป็นวิปัสสนากรรมฐานไปได้

สรุปในเบื้องต้น

การปฏิบัติธรรมตามสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปไม่เป็นวิปัสสกรรมฐาน เป็นแต่เพียงสมถะกรรมฐานเท่านั้น 

และก็ไม่มีการปฏิบัติแบบนี้ อยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค รวมถึงพระไตรปิฎกด้วย 

พระภิกษุชาวพม่าอ้างอิงคัมภีร์วิสุทธิมรรคกับสติปัฏฐาน 4 เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการปฏิบัติธรรมที่ตนเองคิดขึ้น  แต่หลักการปฏิบัติไม่ได้เป็นไปตามคัมภีร์วิสุทธิมรรคกับสติปัฏฐาน  4 แต่อย่างใด

คำโฆษณาอวดอ้างที่เกินจริงว่า การปฏิบัติธรรมแบบนี้ เป็นวิปัสสนากรรมฐานจึงไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เป็นเพียงความเชื่อของพระภิกษุชาวพม่าเท่านั้น

คนไทยที่พากันไปหลงเชื่อก็จึงทำให้เสียเวลาเกิดทั้งชาตินี้ไปอย่างน่าเสียดาย

ผมขอสรุปข้อบกพร่องของพระพม่าอีกสักครั้ง ดังนี้
1)  เข้าใจผิด คิดไปว่าวิปัสสนากรรมฐานแต่เพียงอย่างเดียวทำให้บรรลุมรรคนิพพานได้
2)  เข้าใจผิด คิดไปว่า สติปัฏฐาน 4 แต่เพียงอย่างเดียว ทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้
3) สติปัฏฐาน 4 ไม่เป็นวิปัสสนา/เห็นแจ้ง เป็นอนุปัสนา/ตามเห็น
4) พยายามแปลความหมายของสติปัฏฐาน 4 ให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม
5) การปฏิเสธการเห็นของสายพองยุบ-นามรูป ถือว่าเป็นความผิดขั้นร้ายแรงที่สุด
6)  การปฏิบัติแบบสายพองยุบ-นามรูปเป็นเพียงวิธีปฏิบัติเพียงส่วนหนึ่งของสติปัฏฐาน  4 เท่านั้น




19 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ12 กันยายน 2555 เวลา 13:36

    ว่าคนอื่นโง่ ตัวเองคิดว่าฉลาดแล้วหรือ

    ควรพิจารณาตนเองให้รอบคอบก่อนว่าตนเองนั้น รู้หมดทุกอย่างหรือยัง

    ตอบลบ
  2. แล้วคุณพิจารณาตัวเองอย่างรอบคอบแล้วหรือยัง

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ22 กันยายน 2555 เวลา 19:35

    พระภิกษุชาวพม่านั้น โชคร้ายมากๆ เพราะ ในประเทศพม่าไม่มีสายปฏิบัติธรรมใดทำได้เลย
    แต่ในเมืองไทยมีสายปฏิบัติธรรมที่ทำได้ พิสูจน์ได้ คือ สายวิชชาธรรมกาย ถ้าเป็นนักวิชาการจริง ก็ควรมาศึกษาดู หรือถ้าจะลองปฏิบัติตามด้วยตนเอง ก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
    การเห็นของวิชชาธรรมกายนั้น มีบันทึกไว้เป็นหลักสูตร และมีคนทำได้ พิสูจน์ได้ เป็นแสนๆ คนแล้ว ตั้งแต่เด็ก 3 ขวบ จนถึงคนชรา สามารถพิสูจน์ได้ให้เห็นอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
    เมื่อรู้ว่าวิชชาธรรมกายสอนได้ ทำได้ แต่ก็ไม่เชื่อคนไทย องค์ความรู้ไทย ไปเชื่อพระชาวพม่า ทั้งที่ๆ คำสอนนั้นก็ขัดกับคัมภีร์วิสุทธิมรรคและขัดกับพระไตรปิฎก
    อย่างนี้ ท่านว่า มันเป็น "กรรมของสัตว์"
    ..............
    การปฏิบัติธรรมตามสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปไม่เป็นวิปัสสกรรมฐาน เป็นแต่เพียงสมถะกรรมฐานเท่านั้น และก็ไม่มีการปฏิบัติแบบนี้ อยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค รวมถึงพระไตรปิฎกด้วย

    พระภิกษุชาวพม่าอ้างอิงคัมภีร์วิสุทธิมรรคกับสติปัฏฐาน 4 เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการปฏิบัติธรรมที่ตนเองคิดขึ้น แต่หลักการปฏิบัติไม่ได้เป็นไปตามคัมภีร์วิสุทธิมรรคกับสติปัฏฐาน 4 แต่อย่างใด

    คำโฆษณาอวดอ้างที่เกินจริงว่า การปฏิบัติธรรมแบบนี้ เป็นวิปัสสนากรรมฐานจึงไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เป็นเพียงความเชื่อของพระภิกษุชาวพม่าเท่านั้น

    คนไทยที่พากันไปหลงเชื่อก็จึงทำให้เสียเวลาเกิดทั้งชาตินี้ไปอย่างน่าเสียดาย

    ..............

    น่าสงสารเจ้าของบทความนะครับ ที่แสดงความคิดอย่างสุดโต่ง จนอาจทำให้ผู้อื่นทราบว่าตนนั้นมีปัญญาหรือว่าเขลา ให้ผู้อื่นได้เห็น บางครั้งการไม่แสดงความคิดเสียเลย ก็ยังพอมีความฉลาดอยู่บ้าง และบางครั้ง ก็อาจเป็นการแสดงความเขลา เบาปัญญาของตนสู่สาธารณะชน

    อยากแนะนำให้เจ้าของบทความวางตัวเป็นกลาง และเทียบเคียงหลัก ว่า

    ........... สติปัฏฐาน มีที่มาจากไหน อย่างไร
    เมื่อเทียบกับ วิชชาธรรมกาย คำว่า ธรรมกาย มีที่มาจากไหน อย่างไร ทั้งในพระไตรปิฎกและ
    พระคัมภีร์วิสุทธิมรรค
    และให้ไปสืบค้นดูว่า สติปัฏฐานสูตร แสดงถึงเรื่องอะไร และ ธรรมกาย มีที่มาจากพระสูตรไหน หรือ พระไตรปิฏกเล่มใด มีแสดงอยู่ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรคหรือไม่ หากท่านเปิดใจ ผมเชื่อว่า ท่านจะไม่เสียทีที่ได้ลืมตา แต่อยากแนะนำว่า ให้ไปอ่านสติปัฏฐานสูตรดูนะครับ

    หากท่านสงสัยประการใด อีเมลมาหาผมได้เลยนะ ที่ witt009@hotmail.com (ถ้าไม่รังเกียจ)
    หากส่งเมลมาหา แจ้งที่หัวข้อด้วยนะครับว่า สติปัฏฐาน กับ ธรรมกาย มีที่มาและแสดงไว้ที่ไหนอย่างไร อยากทราบเช่นกันว่า มีในส่วนไหน ของพระไตรปิฎก เพื่อจะได้ประดับสติปัญญา

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ระบุชื่อ3 ตุลาคม 2556 เวลา 20:25

      การจะปฏิบัติแล้วให้ได้ผลตามที่ต้องการนั้นต้องประกอบด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง
      ไม่ว่าจะเป็นสายไหนก็สามารถเป็นกรรมฐานทั้งนั้น
      ยุบหนอพองหนอ
      คำภาวนาพุทโธ
      ลองศึกษาดูดีๆนะ

      ลบ
    2. ตัวคุณนั่นแหละ ไปศึกษามาอีก 5 ปี แล้วค่อยมาให้ความเห็นใหม่

      ไปแสดงความโง่ที่อื่น ..........

      ลบ
  4. คุณว่ามาเลยที่ผมเขียนไปนั้่น มันผิดอย่างไร

    ตอบลบ
  5. ปัญหาทางโลกก็มาก ทางศาสนาก็มีเยอะ จึงได้มีหลายนิกายนี่แหละ

    ผมอยากให้พิจารณา ท่านพุทธทาส กับ หลวงปู่ชา หรือหลวงตามหาบัวให้หน่อย

    ว่าวิธีต่างกัน แล้ว เป้าหมายต่างกันอย่างไร

    ง่ายๆ คือ นิพพาน มีต่างกันหรือเปล่า

    เช่น การเดินไปเชียงใหม่
    บางคนเดิน บางคนนั่งเกวียน บางคนวิ่ง บางคนขี่ม้า บางคนขี่ควาย บางคนขี่จักรยาน บางคนจักรยานยนต์ บางคนรถยนต์ บางคนนั่งรถทัวร์ บางคนรถไฟ บางคนนั่งเครื่องบิน บางคนไปทางนครสวรรค์ บางคนไปสุพรรณ บางคนอ้อมไปทางอิสาน แล้วแต่ใครสะดวกทางใหน อาจารย์ใหนแนะนำ ถึงช้าเร็วก็แล้วแต่ความตั้งใจมั่นและกำลังทรัพย์ ที่จะเติมน้ำมัน แต่พอเดินทางใกล้เชียงใหม่ ก็จะมีเส้นทางผ่านแพร่ เหมือนกัน เท่ากับว่าจะเห็นอะไรเหมือนกัน ตอนท้ายๆ (ใกล้อรหันต์)

    แล้วเราจะมีปัญหากับคนอื่นๆ ทำไม เมื่อเรายังไม่ชนะตัวเองเลย แล้วอย่าเอาครูบา อาจารย์ มาอ้างใส่กันด้วย (ท่านคงไม่ชอบหนักหนา)

    สาธุ

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ19 มีนาคม 2556 เวลา 17:28

    เมื่อตามดูก็รู้ทัน เมื่อรู้ทันก็จะพบว่ามันเป็นของไม่เที่ยง เมื่อรู้เช่นนั้นก็ปล่อยวางได้ อนุปัสนาแล้วอย่างไร ในเมื่อปลายทางก็หลุกพ้นได้เหมือนกัน

    ตอบลบ
  7. โง่แล้วอวดฉลาดมาอีกตัวหนึ่งแล้ว อ่านหนังสือไม่แตกแล้วอยากให้ความเห็น


    ประเด็นมันอยูที่ว่า "สติปัฏฐาน 4" นั้น ต้อง "เห็น" จะมามั่วคิดเอาแล้ว เข้าใจผิดบ้าง ถูกบ้างบ้าง ไม่ได้


    ม้นต้องเห็น ถึงจะถูกต้องตามพระไตรปิฎก

    ตอบลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ24 เมษายน 2556 เวลา 02:00

    ก็คนมันเรียนมาน้อยนิคับ ดร. พูดไปจะเอาความรู้ที่ไหนมาคิดวิเคราะ
    มีความรู้นิดหน่อย แต่อยากอวดบ่างก็เลยมาพูด ไม่เอาละไปเดินฌาณ ดูอริยสัจ 4 ต่อดีกว่า....

    ตอบลบ
  9. ไม่ระบุชื่อ20 พฤษภาคม 2556 เวลา 07:46

    สายไหนก็ดีหมดเเหละครับ กรรมฐานมีมากกว่า40วิธิ เพื่อใจสงบ สงัดจากกาม เเละความคิด ถ้าไม่บรรลุอรหัน ก้อยังโง่กันทุกคนเเหละครับ

    ตอบลบ
  10. ถ้าไม่รู้ก็ไปอ่านให้มากๆ ก่อน อย่าเพิ่งมาแสดงความเห็นโง่ๆ แบบนี้

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ระบุชื่อ3 ตุลาคม 2556 เวลา 20:28

      ว่าแต่คนอื่นเขาแล้วหันมาดูตนเองหรือยัง
      ไปอ่านจริตคนให้ดีละกันแล้วจะเข้าใจ
      ตามจริตของแต่ละบุคลไปอ่านซะจะได้ฉลาดขึ้นมั้ง

      ลบ
    2. ผมไม่เคยหันมาดูตัวเองหรอก ดูแต่ในกระจก หรือบางทีก็ก้มดู

      คุณคงชอบหันมาดูตัวเองเหมือนสัตว์ละซี ถึงถามอย่างนี้

      ลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ14 ธันวาคม 2556 เวลา 01:12

    ไม่น่าหลวมตัวเข้ามาอ่านเลย หลวงพ่อสดท่านได้ธรรมกายแล้วท่านได้วิปัสนาภายหลังนะครับ ท่านเห็นว่าวิปัสนาเป็นของแท้ ธรรมกายทำให้รวยได้ในทางโลก แต่ไม่สามารถทำให้หลุดพ้นได้
    ท่านว่าคนอื่นโง่ ท่านเองแหละโง่ อยากดังไม่เข้าท่า ไปดีก่า...

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ควายมาอีกตัวหนึ่งแล้ว

      ถ้าคุณจะยืนยันว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำเลิกเรียนธรรมกายแล้วไปเรียนวิปัสสนา คุณต้องไปหาหลักฐานจากหนังสือของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ไม่ใช่ไปเอามาจากเชื่อหนังสือของคนที่โจมตีหลวงพ่อ

      ขอยกตัวอย่างให้ชัดๆ

      สมมุติว่า คนข้างๆ บ้านคุณ ที่ไม่ค่อยชอบแม่คุณนัก มาบอกคุณว่า "ในอดีต ก่อนที่แม่คุณจะแต่งงานกับพ่อคุณนั้น แม่คุณมีอาชีพเป็นหญิงโสเภณีมาก่อน"

      คุณจะเชื่อคนที่เล่า หรือคุณจะไปถามแม่กับพ่อของคุณ

      หนังสือของหลวงพ่อวัดปากน้ำ หนังสือของลูกศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ ไม่เคยมีเขียนว่า หลวงพ่อไปเรียนวิปัสสนาแล้วเลิกเรียนวิชาธรรมกาย

      มีแต่หนังสือพวกโกหกตอแหล แต่งขึ้นมาหลอกลวงทั้งนั้น

      ไปแสดงความโง่ที่อื่น ตามที่ควายมันไปอยู่กัน

      ลบ
  12. แนะนำให้บวชแล้วปฏิบัติวิเวก ดีกว่ามาเบ่งอวดรู้ในความไม่รู้ในทางโลกเลย มันวุ่นวาย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มึงบวชไปก่อนเลย เดี๋ยวกูจะบวชตาม
      บอกมาด้วยว่า อยู่วัดไหน

      ลบ
    2. ผู้รู้ คือ ผู้มีประสบการณ์ตรง การอ้างจากที่อื่น ก็ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด ความคิดของเราเป็นเพียงการตีความตามทัศนะ อาจจริงหรือเท็จก็ได้ เพราะเรายังไม่เข้าถึงสภาวะนั้น ภาวะรู้เป็นเรื่องเฉพาะตัว ถ้ามองโลกตารมที่รับรู้ได้ ไม่ปรุงแต่งก็คงพอรู้ได้กระมัง

      ลบ