ลำดับต่อไปจากนั้นก็คือ คุณหาธรรม ซึ่งแกไม่ได้เข้ามาหา “ธรรมะ” ในบทความของผมเลย แกมาหาเรื่องตลอด หาไปหลายบทความแล้ว
ครั้งนี้ คุณหาธรรมแกหาเรื่องดังนี้ (06 กันยายน 2553 02:32)
ฝากให้ คุณ มนัส อ่าน ด้วยความห่วงใยว่าจะถูกกิเลสหลอกให้หลงไปมากกว่านี้
อุปกิเลส ๑๖
๑. อภิชฌมวิสมโลภะ คือความละโมภ อยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่างไม่รู้จักพอ เห็นแก่ได้จนลืมตัว
๒. พยาบาท คือความคิดร้าย มุ่งจะทำร้ายเขา ใครพูดไม่ถูกใจก็คิดตำหนิเขา คิดจะทำร้ายฆ่าเขาก็มี บางครั้งทำร้ายผู้อื่นไม่ได้ ก็หันมาตำหนิตัวเอง ทำร้ายตัวเองจนฆ่าตัวตายก็มีซึ่งเป็นเพราะอำนาจพยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ
๓. โกธะ คือความโกรธ มีอะไรมากระทบก็โกรธ เป็นลักษณะโกรธง่าย แต่เมื่อหายแล้วก็เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คือไม่ผูกใจเจ็บ
ไม่พยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ
๔. อุปนาหะ คือการผูกโกรธ ใครพูดอะไร ทำอะไรให้เกิดความโกรธแล้วจะผูกใจเจ็บ เก็บไว้ ไม่ปล่อย ไม่ลืม เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น กระทบอารมณ์เมื่อไรก็เอาเรื่องเก่ามาคิดรวมกันคิดทวนเรื่องในอดีตว่าเขาเคยทำไม่ดีกับเราขนาดไหน เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ
๕. มักขะ คือการลบหลู่คุณท่าน ปิดบังความดีของผู้อื่น ลบหลู่ความดีของผู้อื่น เช่น เขาให้ของแก่เรา แทนที่จะขอบคุณกลับนึกตำหนิเขาว่าเอาของไม่ดีมาให้ หรือเมื่อมีใครพูดถึงความดีของเขา เราทนไม่ได้ เราไม่ชอบ จึงยกเรื่องที่ไม่ดีของเขามาพูด
เพื่อปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่คนดีถึงขนาดนั้น เป็นต้น
๖. ปลาสะ คือการตีเสมอ ยกตัวเทียมท่าน ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตน แต่ชอบยกตัวเองดีกว่าเขามักแสดงให้เขาเห็นว่าเราคิดเก่งกว่ารู้ดีกว่า ถ้าให้เราทำ เราจะทำให้ดีกว่าเขาได้
๗. อิสสา คือความริษยา เห็นเขาได้ดี ทนไม่ได้ เมื่อเห็นเขาได้ดีมากกว่าเราเขาได้รับความรักความเอาใจใส่มากกว่าเรา
เรารู้สึกน้อยใจ อยากจะได้เหมือนอย่างเขา ความจริงเราอาจจะมีมากกว่าเขาอยู่แล้ว หรือเรากับเขาต่างก็ได้รับเท่ากัน
แต่เราก็ยังเกิดความรู้สึกน้อยใจ ทนไม่ได้ก็มี
๘. มัจฉริยะ คือความตระหนี่ ขี้เหนียว เสียดายของ ยึดในสิ่งของที่เราครอบครองอยู่อย่างเหนียวแน่นอยากแต่จะเก็บเอาไว้ ไม่อยากให้ใคร
๙. มายา คือเจ้าเล่ห์หลอกลวง ไม่จริงใจ พยายามแสดงบทบาทตัวเองเกินความจริง หรือจริงๆ แล้วเรามีน้อยแต่พยายามแสดงออกให้คนอื่นเข้าใจว่ามั่งมี เช่น ด้วยการแต่งตัว กินอยู่อย่างหรูหรา หรือบางกรณี ใจเราคิดตำหนิติเตียนเขา แต่กลับแสดงออก
ด้วยการพูดชื่นชมอย่างมาก หรือบางทีเราไม่ได้มีความรู้มากแต่ของคุยแสดงว่ารู้มาก เป็นต้น
๑๐. สาเถยยะ คือการโอ้อวด หลอกลวงเขา ชอบอวดว่าดีกว่าเขาเก่งกว่าเขา พยายามแสดงให้เขาเห็น เพื่อให้เขาเกิดอิจฉาเรา เมื่อได้โอ้อวดแล้วมีความสุข
๑๑. ถัมภะ คือความดื้อ ความกระด้าง ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง ใครแนะนำอะไรให้ก็ไม่ยอมรับฟัง
๑๒. สารัมภะ คือการแข่งดี มุ่งแต่จะเองชนะเขาอยู่ตลอด จะพูดจะทำอะไรต้องเหนือกว่าเขาตลอด เช่นเมื่อพูดเถียงกันก็อ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา เพื่อเอาชนะให้ได้ ถึงแม้ความจริงแล้วตัวเองผิด ก็ไม่ยอมแพ้
๑๓. มานะ คือความถือตัว ทะนงตน
๑๔. อติมานะ คือการดูหมิ่นท่าน ความถือตัวว่าเราดียิ่งกว่าเขา ทำให้ดูถูกดูหมิ่นคนอื่น
๑๕. มทะ คือความัวเมา หลงว่ายังเป็นหนุ่มเป็นสาว ยังไม่แก่ ยังไม่ตาย หลงในอำนาจ หลงในตำแหน่ง คิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปแล้วทำอะไรเกินเหตุ
๑๖. ปมาทะ คือความประมาท เลินเล่อ ไม่คิดให้รอบคอบ อาการที่ขาดสติ ขาดปัญญา
Ref: http://www.kusolsuksa.com/webboard/index.php?topic=930.0
ผมได้ตอบไปแบบสุภาพๆ ตามลักษณะของผู้ดีว่า (06 กันยายน 2553 16:30)
เรียน คุณหาธรรม
ผมว่าคุณไปห่วงใยญาติผู้ใหญ่ของคุณดีกว่า ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวอะไรกับผม โง่ก็อยู่ส่วนโง่ไป....
ที่ผมเขียนไปข้างบนว่า "สติปัฏฐาน 4 ไม่เป็นวิปัสสนา" ถ้ามีปัญหาแย้งอย่างเป็นวิชาการ ก็แย้งมา
ถ้าปัญญายังด้อย ความรู้ยังน้อย ก็ไปศึกษาเพิ่มเติมแล้วก็มาโต้แย้ง ไม่มีความรู้จะโต้แย้ง ก็มารำพึงรำพัน
ขอแถมอีกคำ โง่ก็อยู่ส่วนโง่เถอะ......
ถ้าผมเป็นผู้ร้ายนะ คุณหาธรรมแกคงจะได้ “เรื่อง” มากกว่านี้ แต่คุณหาธรรมแกไม่ค่อยมีสมบัติผู้ดีเหมือนผมหรอก แกหน้าด้าน หน้ามึน
ยังเข้ามาอีกหลายครั้งหลายหน...
บทความในชุดเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น