บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

สายไหนก็ไม่สำคัญ

คำถาม-คำตอบที่มาจาก gotoknow คงหมดแค่บทความนี้แล้ว  จึงขอจะบอกรายละเอียดแต่เพียงคร่าวๆ เท่านั้น

ธรรมฐิต 20 ธันวาคม 2553 17:49
จะสายไหนแบบไหนไม่สำคัญหรอกเนาะคุณโยม เพราะท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ไม่เคยเรียนรู้จากตัวอักษรเลย แต่เข้าใจสัมผัสแห่งปรากฏการณ์ได้อย่างงดงาม เพราะลงมือทำแล้วธรรมก็บังเกิดขึ้น..

พุทธะคือผู้รู้เท่าทันสรรพสิ่งหาได้ผูกขาดเพียงแค่บุรุษที่เคยมีพระนามว่าสิทธัตถะก็หาไม่ ธรรมะคือสรรพสิ่งที่มีอยู่คู่โลกซึ่งผู้รู้เท่าเท่าได้นำมาเปิดเผยหาใช่จำกัดเฉพาะในศาสนาพุทธก็หาไม่

สังฆะคือหมู่คณะบุคคลที่เรียนรู้ให้เท่าทันสรรพสิ่ง

ที่ผู้รู้นำมาเผยแล้วบอกต่อแก่สรรพสัตว์ บนพื้นพิภพนี้...หาได้จำกัดเพียงแต่ บุรุษที่ปลงผมห่มจีวรนอนที่วัดเท่านั้นไม่

ทั้งสามประการนี้มนุษย์ทุกคน (ไม่ว่าเชื้อชาติศาสนาใด) สามารถ (และควร) สัมผัส...ได้อย่างงดงาม

ดร. มนัส โกมลฑา (20 ธันวาคม 2553 21:26)
นมัสการ หลวงพี่ธรรมฐิต

ผมไม่รู้ว่า หลวงพี่ปฏิบัติธรรมสายไหน แต่ในบันทึกนี้ ผมต้องการโต้แย้งคำสอนของพระพม่า เพราะ พระพม่าสอนผิดไปจากไตรปิฎก คือ ตีความพระไตรปิฎกไม่ถูกต้อง ในหลายประเด็นหลัก เช่น

1) คิดว่าวิปัสนาอย่างเดียว ทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้
2) เมื่อคิดการปฏิบัติธรรมได้ใหม่ แบบสายพอง-ยุบ นาม-รูป ก็หาว่าเป็นสติปัฏฐาน 4 ซึ่งไม่ใช่
3) หาว่า สติปัฏฐาน 4 เป็นวิปัสสนาซึ่งก็ไม่ใช่อีก
ฯลฯ

ที่สำคัญก็คือ หาว่าการปฏิบัติธรรมในประเทศไทยผิดหมด ของพม่าถูกที่สุด ซึ่งก็ผิดอีก ดังนั้น ผมจึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อเขียนที่ว่า "จะสายไหนแบบไหนไม่สำคัญหรอกเนาะคุณโยม"

เกิดมาชาติหนึ่งนั้น ลำบากมาก ทนทุกข์ต่างๆ นานา เมื่อต้องการสร้างบารมี และมีสายปฏิบัติธรรมที่สามารถสร้างบารมีได้มาก และตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ผมก็ขอเลือกแบบนั้น

ถ้าเลือกผิดก็เสียชาติเกิดไปชาติหนึ่งอย่างน่าเสียดาย


ธรรมฐิต 21 ธันวาคม 2553 07:00
กระผมเดินตามสายพระพุทธเจ้าขอรับอาจารย์ รับฟังทุกสาย แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามทุกสาย  ฝึกมาแค่สิบกว่าปีเอง แต่กระผมคงเศษเสี้ยวเท่านั้นเมื่อกับท่านอาจารย์แหละขอรับ ส่วนที่อาจารย์บอกไม่เห็นด้วยนั้น ใช่เลยขอรับเพราะสิทธิแต่ละคนที่จะเลือกขอรับ..

อนุโมทนาขอรับ....

ดร. มนัส โกมลฑา (21 ธันวาคม 2553 17:51)
นมัสการ หลวงพี่ธรรมฐิต

ไม่ใช่จะต่อความยาว สาวความยืดนะครับ หลวงพี่บอกว่า "เดินตามสายพระพุทธเจ้า" ผมก็ยังอยากจะบอกว่า ทุกสายปฏิบัติก็ต่างเชื่อว่า ของตนถูกต้องตามพระพุทธเจ้า ของคนอื่นผิดทั้งนั้น

แล้วของใครถูกล่ะ........... ดังนั้น การเดินตามสายพระพุทธเจ้า ก็ไม่ควรจะว่า ทุกสายถูกไปหมดตั้งแต่ตนจนปลาย

ในความเห็นของผม ถ้าสายไหนมีคำอธิบายพระไตรปิฎกไม่สอดคล้องกัน คือ ถ้าพิจารณาในภาพรวมขัดกันไปหมด ในที่หนึ่งอธิบายไปอย่างหนึ่ง ในอีกทีหนึ่งอธิบายไปอีกอย่างหนึ่ง

สายปฏิบัติธรรมนั้น ก็ต้องตีความพระไตรปิฎกผิดแน่ๆ เช่น สายพอง-ยุบ นาม-รูป บอกว่า ของตนเป็นวิปัสสนา ซึ่งแปลว่า เห็นแจ้ง แต่พอเห็นอะไรว่า ผิดหมด

บอกว่า ของตนเป็นสติปัฏฐาน 4 และก็เป็นวิปัสสนา แต่สติปัฏฐาน 4 เป็นเพียงอนุปัสนา ซึ่งแปลว่า ตามเห็นเท่านั้น ไม่ใช่เห็นแจ้ง

บอกว่า ต้องพิจารณาเห็นกายในกาย แต่ก็อธิบายแค่กายเดียว ไม่มีกายอื่นๆ และไม่ยอมเห็นด้วย แล้วมันจะเป็นพิจารณาเห็นกายในกายได้อย่างไร ฯลฯ

เตือนกันไว้ก่อน เผื่อว่า จะไปกันที่อื่น เมื่อละชาตินี้ไปแล้ว จะได้ไม่มาต่อว่ากันว่า ทำไมไม่เตือนกันมั่งเลย...

มีคนเรียนจบปริญญาเอก เข้ามาให้ความเห็น ดังนี้

ดร. เหมือนกัน [IP: 183.88.112.132] 22 ธันวาคม 2553 07:29
ได้ยินแต่เพื่อนเล่าให้ฟังวันนี้เลยเข้ามาหาอ่านดู ผมเข้าวัดปากน้ำเดือนละสองสามครั้งมาประมาณสามสิบปีแล้ว เดินตามหลวงพ่อสดมาตลอด

ไม่นึกว่าท่านดร.ยังมีอีโก้สูงขนาดนี้ เราอย่างนึกว่าของเราดีแล้วทับถมของคนอื่นสิ การยอมรับฟังคนอื่น (ปรโตโฆษะ) บ้างเป็นหลักธรรมข้อหนึ่งที่จะนำมาซึ่งสัมมาทิฐินะ

ท่านดร. เล่นหาว่าคนอื่นที่ความคิดไม่ตรงตนไม่ถูกหมดอ้างแต่วิชาการอย่างเดียว ถ้ามีคนถามว่าวิชาการที่ว่านะบอกได้ใหมว่าพระไตรปิฏกที่ว่าถูกต้องร้อยเปอร์เซ็น

ลงมือปฏิบัติเถอะอีโก้จะลดน้อยถอยบ้าง ใครๆ ก็รู้ว่าเกลือนะเค็มแต่ถ้าไม่ได้ลิ้มรสเองคงไม่ซาบซึ้งหรอก

กรุงเทพนะไปได้หลายทางเนาะอาจจะช้าหรือเร็วก็อยู่ที่วิธีเดินทาง อย่านึกว่าตนนั่งเครื่องแล้วจะถึงก่อนสิไม่แน่ถ้าเครื่องตกคนเดินเท้าอาจไปเส้นชัยก่อนก็ได้ว่าใหมท่านดร.

วิชาการนะวางๆ เสียบ้างนะครับ เพราะมิฉะนั้นแล้วคนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้คงหมดสิทธิ์เข้าถึงธรรมกันหมดแล้ว

ดร. เหมือนกัน เลยเจอ ดร. ไม่เหมือนใคร ตอบไปดังนี้ (22 ธันวาคม 2553 10:41)

เรียน ท่าน ดร.เหมือนกัน [IP: 183.88.112.132]

แสดงว่า ผมนี่ดังเหมือนกัน ต่อไปคงจะดังมากขึ้นแน่ๆ .............. ท่าน "ดร. เหมือนกัน" ที่ผมจะเขียนต่อไปนี่ ผมไม่ได้เสียดสีอะไร แต่พูดตามความเป็นจริง

ตอนนี้ ท่าน "ดร. เหมือนกัน" กำลังเขียนบทที่ 4 ถึงผม ผมสมมุติว่า ท่าน "ดร. เหมือนกัน" กำลังทำวิจัยผม ด้วยทฤษฎีฐานราก (Grounded theory) ก็แล้วกัน

ผลการวิจัยของ ท่าน "ดร. เหมือนกัน" ออกมาว่า
1) ผมอีโก้สูง
2) ผมไม่ยอมรับฟังคนอื่น
3) ทับถมคนอื่น
4) อ้างวิชาการอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติ

ผมข้อชี้แจงบ้างว่า ท่าน "ดร. เหมือนกัน" ไม่รู้จักผมเลย ท่านทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องหรือปล่าว การอ่านข้อเขียนของผมนิดๆ หน่อยๆ แล้ววิเคราะห์เลยนี่ เป็นงานวิจัยที่แย่เอามากๆ

ข้อมูลเกี่ยวกับตัวผม ที่ท่าน "ดร. เหมือนกัน" มีนั้น มันน้อย............................................มาก

ข้อตอบบางข้อก็แล้วกัน ที่เหลือไปอ่านข้อเขียนของผมให้มากกว่านี้หน่อย แล้วค่อยมาวิพากษ์วิจารณ์กันต่อได้

บันทึกในส่วนนี้ ผมวิพากษ์วิจารณ์สาวกพระพม่า เพราะพระพม่าสอนไม่ถูกต้องตามพระไตรปิฎก ความผิดที่ร้ายแรงมากก็คือ คิดว่าวิปัสสนาอย่างเดียว ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้

ความผิดร้ายแรงมากที่สุดก็คือ หาว่าการปฏิบัติธรรมในประเทศไทยผิดทั้งหมด เป็นสมถกรรมฐานทั้งหมด รวมถึงสายวิชชาธรรมกายด้วย

ความผิดร้ายแรงมากที่สุดยกกำลังสองก็คือ มหาโชดกและสาวกส่วนหนึ่ง โฆษณาประชาสัมพันธ์ออกมาว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำเลิกสอนวิชชาธรรมกายแล้ว และมาเรียนสายพอง-ยุบแทน

มีคนมาดูถูกครูบาอาจารย์ของเราอย่างผิดๆ เราแย้งขึ้นมาอย่างเป็นวิชาการ ผมทำผิดหรือ............

ไม่มีเอกสารจากหลวงพ่อวัดปากน้ำเล่มใดๆ หรือคำพูดใดๆ ที่ออกจากปากหลวงพ่อว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านเลิกสอนวิชชาธรรมกายแล้ว

เอกสารของพระมหาโชดกและสาวกส่วนหนึ่งนั้น โกหกทั้งสิ้น...... นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่พระมหาโชดกไม่ได้ไปสุคติภูมิ

ท่าน "ดร. เหมือนกัน" ลองหาอ่านดู อยู่ในบันทึกแถวๆ นี้นี่แหละ

อีกสักข้อหนึ่ง ผมเป็นวิทยากรสอนวิชาธรรมกาย สอนมาหลายปีแล้ว แล้วสอนเด็กนักเรียนไปเป็นแสนคนแล้ว

ผมสามารถสอนให้เด็กให้ดวงธรรม เห็นกายธรรม สอนวิชา 18 กายให้นักเรียนได้ สอนให้เด็กขอรัตนะเจ็ดได้ สอนให้เด็กดูกายสิทธิ์ในเรือนของท่านได้

ท่าน "ดร. เหมือนกัน" ใช้ข้อมูลอะไรมาสรุปผลการวิจัยว่า ลงมือปฏิบัติเถอะอีโก้จะลดน้อยถอยบ้าง วิชาการนะวางๆ เสียบ้างนะครับ

สุดท้ายเลย ขอให้ไปอ่านความเห็นที่ผมตอบหลวงพี่หลวงพี่ธรรมฐิต

ถ้าเราเป็นคนปฏิบัติธรรม มันก็ต้องยึดการปฏิบัติธรรมแบบใดแบบหนึ่งไว้ แบบอื่นๆ ต้องผิดแน่ๆ คนปฏิบัติธรรมต้องคิดแบบนี้

ถ้ายังคิดว่า สายปฏิบัติธรรมใดก็เหมือนกัน คิดอย่างนี้พวกมือใหม่ ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้

ที่ท่าน "ดร. เหมือนกัน" ว่า ผมเข้าวัดปากน้ำเดือนละสองสามครั้งมาประมาณสามสิบปีแล้ว เดินตามหลวงพ่อสดมาตลอด

ผมไม่เคยเดินตามหลวงพ่อวัดปากน้ำหรอกครับ แต่หลวงพ่อสั่งงานให้ผมทำ และถึงในขณะนี้ ปัจจุบันนี้ ผมก็ทำงานให้หลวงพ่อ แม้ว่าบางงานหลวงพ่อไม่ได้สั่งให้ทำ ผมทะลึ่งทำเอง

ถ้า ท่าน "ดร. เหมือนกัน" ต้องการพิสูจน์ว่า ที่ผมเขียนไปจริงหรือเปล่า ขึ้นไปถามหลวงพ่อวัดปากน้ำเอาเองเลยครับ ท่าน "ดร. เหมือนกัน" ทำอยู่ได้แล้วนี่..................

มีแมลงแมงเม่าเข้ามาแจม 2-3 คน ดังนี้

แมงปอ (04 มกราคม 2554 12:01)  ทะเลาะกันทำไม ต่างคนต่างนั่ง แล้วเห็นเอง

ยังเล็ก (06 มกราคม 2554 17:44) http://men.mthai.com/content/4900

ของขวัญปีใหม่ ให้ Dog เตอร์ นะ ดูเเล้ววิเคราะห์ด้วยปัญญา เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง เก็บไว้ในใจ ไม่ต้องคิดเพื่อเอาชนะ หรือเพื่ออวดภูมิสมอง เพราะความรู้ที่เกิดจากสมองยังไงสักวันก็จะต้อง ตายไปพร้อมกับสังขาร

ผู้เคยปฏิบัติ (24 มีนาคม 2554 15:48)

หากใครปฏิบัติสติปัฏฐาน สติที่ตั้งมั่นหรือจิตที่สร้างเป็นตัวดูจิต จะก่อเกิดฌานตามมา และเมื่อนั้น มันจะเรียนรู้การเกิดดับของสิ่งต่างๆที่มากระทบด้วยตนเอง และมันก็จะเข้าใจ แล้วสักวัน มันจะเกิดปัญญาแห่งวิปัสสนา ซึ่งชาติหนึ่งจะเกิดไม่เกิน 4 หน เมื่อนั้นก็จะบรรลุธรรมได้ เหตุนี้ จึงจัดว่าสติปัฏฐานเป็นโลกุตรธรรม มันเกิดการเรียนรู้ของจิตด้วยตนเองโดยทั้งหมด หลายครั้ง ทฤษฎี มันก็เป็นเพียงทาง แต่หากลองทำดูแล้วจะเห็นตาม เรื่องบางเรื่อง ทฤษฎีกล่าวไว้อย่างละเอียด แต่มันรวบยอดตัวเองทั้งหมด เปรียบเหมือนการกินอาหาร เราไม่ได้แยกวิเคราะห์โมเลกุลอาหารขณะกิน(แม้ทฤษฏีแยกไว้) แต่เราก็กินโมเลกุลทั้งหมดเหล่านั้น ทฤษฎีก็เปรียบเหมือนตัวอธิบายถึงโมเลกุล แต่เวลากิน มันรวบยอด แม้แต่ฌานเองก็ตาม เมื่อเข้าแล้ว ผู้เข้าก็ไม่ได้แยกลำดับไว้ขณะเข้า แต่เข้าไปด้วยความเร็วทีเดียวทั้งหมด

ผมตอบความเห็นไปดังนี้ (24 มีนาคม 2554 17:04)

เรียน คุณแมงปอ [IP: 202.90.6.36]

ก่อนที่จะมาเขียนอะไรที่นี่ อ่านให้มากก่อน แล้วค่อยมาเขียน  อย่ามาแสดงความโง่แบบสุ่มสี่สุ่มห้า  สายที่ชอบคุยโม้ว่าตนเองเป็น วิปัสสนานั้น  ไม่ยอมรับว่า มีการเห็นที่ถูกต้องในการปฏิบัติธรรม  เห็นอะไรก็ว่าเป็น นิมิตลวงไปหมด

ผู้คนในสายนี้ ผมก็ไม่ว่าจะ โง่กันไปถึงขนาดไหน ก็วิปัสสนาแปลว่า เห็นแจ้ง”  ก็หมายถึงว่า การปฏิบัติธรรมแบบนี้ ต้องมีการเห็นที่แจ่มชัดมาก แบบชัดยิ่งกว่าชัด  เห็นคลุมๆ เครือๆ ก็ไม่ได้

สำหรับคุณเอง คุณจะมาเขียนว่า ทะเลาะกันทำไม ต่างคนต่างนั่ง แล้วเห็นเองมันก็แสดงความโง่ของตัวคุณเองแล้ว

เรียน ผู้เลิกปฏิบัติไปแล้ว

ผมว่า คุณเลิกปฏิบัติไปแล้ว ก็ถูกต้องแล้ว  ผมว่า คุณเอาหลักการก่อน ว่าที่คุณทำนั้น คุณปฏิบัติธรรมตามแบบใคร  หนังสือตำราเป็นอย่างไรบ้าง

ผลของการปฏิบัติเป็นอย่างไรบ้าง  กิเลสลดลงอย่างไรบ้าง  ที่คุณเขียนมา มั่วทั้งนั้น

ถ้าที่คุณปฏิบัติมา คุณคิดขึ้นเองทั้งหมด คุณก็ไปเขียนเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ด้วยตัวของคุณเองเลย เพราะ คุณสามารถเป็นเกจิอาจารย์ด้วยตัวของคุณเองแล้ว




9 ความคิดเห็น:

  1. สุดยอด ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ได้มั้ยครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ทำเป็นหนังจีนเลย ได้อยู่แล้ว ก็อ่านไป วิพากษ์วิจารณ์ให้ด้วย เพราะ บางทีมันน่าจะมีที่ผิดพลาด

      ลบ
  2. จริงๆ แล้วผู้ที่จะตอบคำถามทุกอย่างได้ดีคือ ผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้วเท่านั้น

    คนธรรมดา อ่านมาก แต่ยังไม่โสดา เลย อย่าโต้แย้งกันให้มาก

    มานั่งปฏิบัติ พิจารณา จิตตัวเองดีๆ แล้วจะเห็นด้วยตัวเอง

    แต่อย่างทึกทัก เองก็แล้วกัน ระวัง

    ประเภท เห็นเอง กับ คิดเอง นั้นต่างกันมากเน้อ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. แล้วตัวคุณเอง "ปฏิบัติเอง พิจารณาจิตคุณเอง จนกระทั่งคุณเห็นด้วยตัวเองหรือยัง"

      ลบ
    2. ไม่ระบุชื่อ21 กันยายน 2556 เวลา 21:43

      ตกลงทางไหนมันดี

      ลบ
    3. ไม่ระบุชื่อ23 มกราคม 2557 เวลา 15:22

      เข้าปฏิบัติก่อนครับ ทางใดมีสติรู้ตัว โลภ โกรธ หลง น้อยลงดีทุกทาง

      ลบ
    4. ทางสายเอกสายเดียวสติปัฏฐาน 4
      กาย. เวทนา. จิต เเละ ธรรม ครับ.โดยเดินตามมรรคมีองค์8 มีศีล....สมาธิ....เเละปัญญา..

      ลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ3 ตุลาคม 2557 เวลา 16:16

    พุทธวัจนะในพระไตรปิฎก กล่าวไว้ว่า

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางสายเอก เพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของเหล่าสัตว์
    เพื่อข้ามพ้นความโศก และความคร่ำครวญ เพื่อความอัสดงแห่งทุกข์ และโทมนัส
    เพื่อบรรลุโลกุตตระมรรค เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน นี้คือ "สติปัฏฐาน ๔"

    พระพุทธเจ้าทรงจำแนกศีลข้อที่ ๔ ออกเป็น "วจีทุจริต ๔ ประการ" ดังนี้
    ๑. มุสาวาท คือ การโป้ปดมดเท็จ
    ๒. ปิสุณาวาจา คือ การพูดส่อเสียด
    ๓. ผรุสวาจา คือ การพูดจาหยาบคาย
    ๔. สัมผัปปลาปะ คือ การพูดเพ้อเจ้อ

    บุคคลซึ่งเป็นกัลยาณมิตร ย่อมเพียรรักษาศีลให้บริสุทธิ์

    ตอบลบ
  4. แล้วยังไง

    มรรค 8 ก็ทางสายเอก โพธิปักขยธรรม ก็ทางสายเอก อริยสัจ 4 ก็ทางสายเอก

    ตอบลบ