บทความนี้ สืบเนื่องมาจากที่ผู้เขียน เผยแพร่แนวคิดความใจผิดเกี่ยวกับสติปัฏฐาน 4 ของพระพม่าออกไป ซึ่งก็มีสาวกที่เป็นคนไทยเข้ามาโต้แย้งโดยยกข้อความในส่วนท้ายของพระสูตร ซึ่งแสดงผลแห่งการเจริญสติปัฏฐาน 4 ดังนี้
พระไตรปิฎกเล่มที่ 10 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 2 ทีฆนิกายมหาวรรค
9. มหาสติปัฏฐานสูตร(22)
ผลแห่งการเจริญสติปัฏฐาน
[151] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 นี้ อย่างนี้ ตลอด 7 ปี เขาพึงหวังผล 2 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีขันธบัญจกเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี
7 ปี ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 นี้ อย่างนี้ ตลอด 6 ปี 5 ปี 4 ปี 3 ปี 2 ปี 1 ปี ... 1 ปี ยกไว้. ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 นี้ อย่างนี้ ตลอด 7 เดือน เขาพึงหวังผล 2 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อขันธบัญจกมีเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี
7 เดือน ยกไว้ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 นี้ อย่างนี้ ตลอด 6 เดือน 5 เดือน 4 เดือน 3 เดือน 2 เดือน 1 เดือน กึ่งเดือน ... กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 นี้ อย่างนี้ ตลอด 7 วัน เขาพึงหวังผล 2 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือพระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อขันธปัญจกยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี.
ข้อความที่ผู้เขียนเน้นโดยการทำตัวหนาและขีดเส้นใต้นั้น นักภาษาศาสตร์เขาเรียกว่า คำบ่งชี้
คำบ่งชี้
คำบ่งชี้นี้มีความสำคัญมากในการสื่อความหมาย และ มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งถ้าผู้อ่านคนใดสนใจก็ไปหาอ่านจากหนังสือของสาขาวิชาภาษาศาสตร์เอาเองก็ แล้วกัน
ในบทความนี้ ขอยกตัวการบ่งชี้เป็นบางประเภทเท่านั้น เพื่อที่จะให้เข้าใจเนื้อหาของบทความชิ้นนี้ของผู้เขียนได้ง่ายขึ้น
การบ่งชี้ที่ควรรู้จักก็คือ การบ่งชี้ที่ต้องมีลักษณะทางกายภาพของผู้พูดประกอบด้วยจึงจะเข้าใจว่า ผู้พูดต้องการสื่อสารอะไร การบ่งชี้แบบนี้จะต้องมีการชี้นิ้วประกอบ (gestural usage)
ยกตัวอย่างเช่น
เรากำลังอยู่ในศูนย์การค้าใหญ่ๆ กับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ผู้คนมาเที่ยวกันมากมายไปหมด เพื่อนเราพูดว่า “ดูผู้หญิงคนนี้ซิ”
ในตัวอย่างดังกล่าวนี้ ถ้าเพื่อนไม่ชี้นิ้วไปที่ผู้หญิงคนใดคนหนึ่ง เราก็ไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า เพื่อนกำลังพูดถึงใคร
บรรลุธรรมภายใน 7ปี 7เดือน 7วัน
การโฆษณาของพระพม่าที่โดนใจคนไทยกลุ่มหนึ่งมากที่สุด (โง่ไม่โง่ไม่เกี่ยว) ก็คือ การปฏิบัติธรรมตามสายพอง-ยุบกับนาม-รูปเป็นวิปัสสนา ดีเลิศประเสริฐศรีไปไปหมด
เป็นสติปัฏฐาน 4 สามารถบรรลุธรรมได้ ภายใน 7ปี 7เดือน 7วัน
ปรากฏว่า คำโฆษณาได้ผล มีผู้ปฏิบัติตามกันมากมาย แต่ไม่เคยสงสัยเลยว่า
- พระพม่าก็สอนมาหลายสิบปีแล้ว ยังไม่เห็นมีใครเป็นพระอรหันต์ หรือพระอนาคามีให้เห็นสักคน
- คำสอนของพระพม่ากลุ่มนี้ ก็ไม่เคยพัฒนาขึ้นเลย ตั้งแต่ต้นมีมาอย่างไร ถึงตอนนี้ก็สอนกันอยู่แค่นั้น คือ สอนได้แต่การพิจารณาอิริยาบถใหญ่ กับอิริยาบถย่อย เท่านั้น
- คำสอนของพระกลุ่มนี้ ก็ขัดกับสติปัฏฐาน 4 ขัดกับหนังสือวิสุทธิมรรค และขัดกับพระไตรปิฎกอีกด้วย
- ไม่มีที่ไหนในพระสูตรสติปัฏฐาน 4 หนังสือวิสุทธิมรรค และพระไตรปิฎกว่า วิปัสสนาดีกว่าสมถะกรรมฐาน
ข้อพิสูจน์ง่ายๆ เลยก็คือ เมื่อไหร่ที่พระพม่าเขียนถึงตรงนี้ จะไม่มีการอ้างอิงไปที่หนังสือเล่มใด ตู่ขึ้นมาเอง โดยไม่มีหลักฐานใดๆ เป็นความเชื่อที่ผิดพลาดมหาศาลของพระพม่าเอง
โดยสรุป คำโฆษณาของพระพม่าที่ว่าจะบรรลุธรรมภายใน 7ปี 7เดือน 7วัน ก็เป็นคำโฆษณาที่ไม่จริง ทำให้ไส้ศึกชาวไทย เสียเวลาปฏิบัติธรรมอย่างหนัก แต่ได้ผลน้อยมากไป 1 ชาติ แบบค่อนข้างเสียเปล่า
ปัญหามันอยู่ที่ใด
ปัญหามันเกิดจาก พระพม่าคิดการปฏิบัติธรรมแบบนี้ขึ้นมา แล้วถูกโจมตีว่าเป็นการปฏิบัตินอกพระพุทธศาสนา
เมื่อถูกโจมตี ก็หันรีหันขวาง ดูแล้วสิ่งที่คิดขึ้นได้ใกล้เคียงกับสติปัฏฐาน 4 ก็จับยัดเข้าเป็นสติปัฏฐาน 4 ซะก็สิ้นเรื่อง
เท่านั้นยังไม่พอ ต้องแปลงสติปัฏฐานให้เป็นวิปัสสนา/เห็นแจ้งซะด้วย ทั้งๆ ที่สติปัฏฐาน 4 นั้นเป็นแค่อนุปัสสนา/ตามเห็นท่านั้น
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่พระโชดกถึงต้องไปขอร้องให้หลวงพ่อวัดปากน้ำเซ็นรับรองว่า การปฏิบัติธรรมแบบพอง-ยุบเป็นสติปัฏฐาน 4
พวกลูกศิษย์รุ่นหลังไม่รู้เรื่อง ก็มาตีความใหญ่โตว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำเลิกสอนวิชชาธรรมกายไปแล้ว
โง่ซะไม่มีที่ติ
ทำไมสายพอง-ยุบกับสายนาม-รูปถึงไม่มีใครบรรลุธรรม
ที่สาวกของสายสายพอง-ยุบกับสายนาม-รูปไม่ได้บรรลุธรรมภายใน 7ปี 7เดือน 7 วันอย่างที่คิด แต่ยังก็ไม่เฉลียวใจว่าถูกหลอกนั้น ก็เป็นเพราะว่า การปฏิบัติธรรมแบบพอง-ยุบ กับนาม-รูป ไม่ได้เป็นสติปัฏฐาน ไม่ได้เป็นวิปัสสนากรรมฐาน
ถ้าจะเป็นก็น่าจะได้แค่สมถกรรมฐาน ที่ตนเองชอบโจมตีกันหนักหนานั่นแหละ
ผลของสติปัฏฐาน 4 เป็นจริงหรือไม่?
ถ้ามีคนถามว่า ตกลงแล้ว ผลของสติปัฏฐาน 4 ที่พระพม่านำมาโฆษณานั้นจริงหรือไม่?
อันนี้ผู้เขียนตอบได้ทันทีอย่างไม่ลังเลว่า “จริง” เพราะเป็นพุทธพจน์
แต่ถึงยุคนี้ ไม่มีใครรู้แล้วว่า สติปัฏฐาน 4 นี้ อย่างนี้ ว่าเป็นอย่างไร อันนี้หมายถึง ในการศึกษาอย่างเป็นวิชาการแบบตะวันตก
นี้ อย่างนี้ เป็นคำบ่งชี้ที่ต้องอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วยจึงจะรู้ว่า สติปัฏฐาน 4 ที่พระพุทธเจ้าสอนวันนั้น ว่าเป็นอย่างไร
นี่คือภาพวาดแสดงเหตุการณ์ในวันที่พระพุทธองค์ทรงสอนสติปัฏฐานสูตร คนพวกนนี้เท่านั้นที่จะรู้ว่า "พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 นี้ อย่างนี้ ตลอด 6 ปี 5 ปี 4 ปี 3 ปี 2 ปี 1 ปี ... 1 ปี ยกไว้. ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 นี้ อย่างนี้" คืออย่างไร เพราะ นั่งฟังเทศน์อยู่ในขณะนั้น
แต่ถ้าจะใช้วิชชาธรรมกายเข้าไปถามพระพุทธเจ้าว่า วันที่พระพุทธองค์ทรงสอนสติปัฏฐาน 4 นั้น สติปัฏฐาน 4 นั้นเป็นอย่างไรก็ทำได้ เพราะ ตำรับตำราของสายวิชชาธรรมกายสอนไว้ว่าทำได้ คือ ถ้าปฏิบัติธรรมตามวิชชาถูกต้อง ก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้
แต่ถ้าจะใช้วิชชาธรรมกายเข้าไปถามพระพุทธเจ้าว่า วันที่พระพุทธองค์ทรงสอนสติปัฏฐาน 4 นั้น สติปัฏฐาน 4 นั้นเป็นอย่างไรก็ทำได้ เพราะ ตำรับตำราของสายวิชชาธรรมกายสอนไว้ว่าทำได้ คือ ถ้าปฏิบัติธรรมตามวิชชาถูกต้อง ก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้
อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นจะต้องทำอย่างนั้น เพราะ วิชชาธรรมกายนี้นี่แหละ เป็นสติปัฏฐาน 4 ของแท้และดั้งเดิม
หลักฐานก็ดูจากชื่อของดวงปฐมมรรค ซึ่งมีชื่อเต็ม ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เราจะเรียกกันสั้นๆ ว่า ดวงธรรม
จะเห็นว่า ดวงธรรมดวงแรกที่เราเห็น อยู่ในหัวข้อ “ธรรมในธรรม” เลยทีเดียว
นอกจากนั้นแล้ว วิชชาธรรมกายจะอธิบายสติปัฏฐาน 4 ได้ดีที่สุด เช่น
- กายในกาย
- เวทนาในเวทนา
- จิตในจิต
- ธรรมในธรรม
ตามดูกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และ ธรรมในธรรม
กายในกายของตนเอง ภายนอกคือกายของคนอื่น และทั้งภายในและภายนอก คือ ในกายของตนเองก็ตามดูกายภายในและกายภายนอกได้ เมื่อตามดูกายของคนอื่นก็ตามดูกายภายในและกายภายนอกได้เช่นเดียวกัน
สรุป
เมื่อพระพม่าคิดวิธีปฏิบัติธรรมแบบใหม่ได้ และถูกโจมตีว่า เป็นการปฏิบัตินอกศาสนาพุทธ จึงพยายามจับยัดว่าเป็นสติปัฏฐาน 4 ด้วยเห็นว่า มีผลของการปฏิบัติธรรมที่เห็นผลได้รวดเร็ว แต่ยังไม่มีใครปฏิบัติธรรมแล้วได้ผลตามคำโฆษณาเลย แม้แต่คนเดียว
ถึงแม้ว่า การปฏิบัติธรรมแบบพม่านั้น จะเป็นสติปัฏฐาน 4 จริงๆ ก็ตาม แต่ก็ไม่มีทางได้ผลในระยะสั้นอย่างที่โฆษณาไว้ได้ เพราะ คำบ่งชี้ที่ว่า “นี้ อย่างนี้” ที่ขยายคำว่า “สติปัฏฐาน” เป็น “สติปัฏฐานนี้ อย่างนี้” แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ไม่ใช่เป็นของพระพม่าที่คิดขึ้นมาใหม่
ดังนั้น การปฏิบัติธรรมตามแบบพระพม่า ถึงแม้จะทำจนสิ้นกัปสิ้นกัลป์ ก็ไม่มีทางจะบรรลุพระอรหันต์ได้อย่างแน่นอน....
ท่านล่ะ!!!มีธรรมเพียงใหน
ตอบลบท่านล่ะ!!มีธรรมเพียงใหน ท่านพยากรณ์การบรรลุธรรมเพียงตัวหนังสือหรือ หากท่านบรรลุธรมแล้วท่านจะประกาศว่าท่านบรรลุธรรมหรือ??
ตอบลบ